นายกฯจี้รุ่นพี่คืนเงินกู้กยศ. หลังพบหนี้ค้าง5หมื่นล้าน

31 ส.ค. 2556 | อ่านแล้ว 363 ครั้ง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “กยศ. พี่ช่วยน้อง” เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกและสร้างวินัยการชำระหนี้คืน เพราะต้องการให้โอกาสรุ่นน้องได้ใช้เงินกู้สำหรับการเรียนในรุ่นต่อไป หลังจากปี 2539-2555 มีนักศึกษากู้ยืมเงินจากกองทุนกว่า 4 ล้านราย เป็นเงินกว่า 400,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของภาคีเครือข่าย กับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)เพื่อปรับแผนการดำเนินการกยศ. สร้างเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชน สร้างวินัยและสำนึกในการชำระหนี้คืน เพื่อมอบโอกาสให้เยาวชนรุ่นน้อง ร่วมกับระหว่าง 24 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นพี่เลี้ยง เพื่อให้นักศึกษามีงานทำ มีเม็ดเงินกลับเข้าสู่กองทุนฯเพื่อสร้างนักศึกษารุ่นต่อ ๆ ไป

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร และเยาวชน นักศึกษาทุกคนถือเป็นกำลังและทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ภาครัฐมีหน้าที่ต้องทำให้นักศึกษาเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาสทางการเรียนการสอนอย่างเต็มที่

                “อยากเห็นความร่วมมือของนักศึกษาทุกคนที่จบแล้ว นำเงินที่กู้ยืมไปส่งกลับคืนไปสู่นักศึกษารุ่นน้อง เพื่อสร้างบุคลากรให้กับประเทศ ขอฝากไปยังภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ขอให้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ ไม่ใช่แค่จะช่วยให้ได้โอกาสในการเรียนต่อเท่านั้น แต่ต้องช่วยให้นักศึกษามีงานทำเมื่อจบ จะทำให้มีเงินกลับเข้ากองทุนเพื่อสร้างนักศึกษารุ่นต่อไป” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

ด้าน นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง กล่าวว่า กองทุน กยศ. จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 หรือประมาณ 17 ปีที่แล้ว สามารถให้เงินทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษากับนักเรียนนักศึกษากว่า 4 ล้านราย มีนักเรียน นักศึกษาที่จบการศึกษาแล้วกว่า 3 ล้านคน ออกไปประกอบอาชีพด้านต่าง ๆ เป็นกำลังสำคัญของประเทศ แต่ยังมีรุ่นน้องนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมาก กำลังขอโอกาสเข้าถึงการศึกษาแหล่งทุน จึงต้องรณรงค์ สร้างจิตสำนึกที่ดี มีวินัย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในกองทุนฯเพื่อเด็กรุ่นต่อไป

                 “สัดส่วนการชำระคืนเงินผู้กู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วยังมีอัตราต่ำ ทำให้กองทุนฯมีปัญหาการจัดสรรเงินกู้ให้กับนักเรียนนักศึกษารุ่นต่อไป เป็นภาระที่กองทุนฯ ต้องฟ้องดำเนินคดีกับนักเรียนนักศึกษา ที่ไม่ชำระคืนทำให้เป็นปัญหาที่กระทบจิตใจของทั้งสองฝ่ายและไม่มีผลดีใดๆ จึงเร่งรณรงค์สร้างวินัย ให้กับนักศึกษาให้ตระหนักถึงความสำคัญของการคืนเงิน” นายทนุศักดิ์กล่าว

รมช.คลังกล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีผู้ค้างชำระเงินกองทุนฯอยู่ที่ 1.6 ล้านราย ยอดค้างชำระ 50,000 ล้านบาท จึงต้องร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบ จึงได้จัดงานขึ้นเพื่อสร้างความร่วมมือในการจัดทำฐานข้อมูลของผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ในหน่วยงานต่าง ๆ และสร้างช่องทางการเข้าถึงแหล่งการฝึกงานและฝึกอาชีพ รวมถึงตำแหน่งงาน โดยประสานความร่วมมือระหว่างกองทุนฯ กับองค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน และพัฒนาประสิทธิภาพระบบการบริหารกองทุนฯ ตั้งแต่ระบบการคัดกรองสถานศึกษา การเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้กู้กับกองทุนฯ การพัฒนาฐานข้อมูล การปลูกฝังค่านิยมความรับผิดชอบต่อสังคม การติดตามให้ความช่วยเหลือผู้กู้ในด้านต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงแหล่งงาน การติดตามให้มาชำระหนี้ การที่กองทุนฯ เข้าเป็นสมาชิกบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย

นายทนุศักดิ์กล่าวว่า คณะกรรมการ กยศ.ยังได้อนุมัติให้ กยศ.นำรายชื่อส่งให้เครดิตบูโรทั้งกลุ่มที่เป็นนักศึกษาใหม่ ยื่นขอกู้กับกยศ.ให้รับรู้ว่า จะนำประวัติการชำระหนี้เปิดเผยข้อมูลกับเครดิตบูโร เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนสามารถเข้าดูข้อมูลประวัติการชำระหนี้ สำหรับประกอบการพิจารณารับเข้าทำงานให้นักเรียน-นักศึกษา มีระเบียบวินัยในการรักษาประวัติทางการเงินของตัวเอง

ส่วนการจะนำข้อมูลของผู้ค้างชำระหนี้ กยศ.เข้าสู่เครดิตบูโรนั้น จะดำเนินการใน 3 ระยะ โดยส่วนนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก ได้หารือกับคณะกรรมการของเครดิตบูโรแล้ว ระยะแรกคนที่จะเข้าสู่กองทุนกยศ. ต้องรู้ว่าอีก 5 ปี ต้องมีการเปิดเผย ข้อมูลผู้ที่กู้เงินค้างชำระ สำหรับคนที่เรียนจบแล้ว และทำงานแล้วก็ได้รับการเปิดเผยข้อมูลอีก 5 ปีข้างหน้าเช่นกัน

ทั้งนี้จะประสานไปยังกรมสรรพากรให้จัดตั้งหน่วยงาน ขึ้นมาทำหน้าที่หักเงินรายได้ส่งให้ กยศ. เหมือนการหักภาษี เพราะเป็นหน่วยงานรับรู้รายได้ของผู้กู้เงิน เมื่อจบการศึกษาและเข้าทำงาน แต่คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าดำเนินการได้หรือไม่

ขณะที่ น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการ กยศ.กล่าวว่า รัฐบาลเปิดให้นักเรียน-นักศึกษา 1.6 ล้านคน เข้าโครงการปรับลดหนี้ในช่วง 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2556- มี.ค.2557 สำหรับผู้ที่ชำระปกติแล้วมาเข้าโครงการปิดบัญชีจะลดภาระหนี้ให้ 3.5 เปอร์เซนต์ ของเงินต้นที่ค้างชำระ ส่วนผู้ที่ค้างชำระหากปิดบัญชีจะลดดอกเบี้ยให้ 50 เปอร์เซนต์ และยกเว้นเบี้ยปรับทั้งหมด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ค้างชำระมาชำระเงินในช่วยนี้

 

ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก Google

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: