เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 กลุ่มเครือข่ายปกป้องเกาะแห่งชีวิต เกาะสมุย พะงัน เต่า หมู่เกาะอ่างทอง นำโดย นายอานนท์ วาทยานนท์ ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องเกาะแห่งชีวิตฯ พร้อมด้วยเครือข่ายภาคี ทั้งผู้ประกอบกการภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจการค้า ฯลฯ ประมาณ 15 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะประธานกรรมการไตรภาคี เพื่อขอรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแปลนสัมปทานรอบๆ เกาะทั้ง 4 แห่ง โดยมี นางวรรณาภรณ์ สวัสดิมงคล รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นผู้รับหนังสือ
นายอานนท์กล่าวว่า หลังจากโครงการขุดเจาะน้ำมันฯ ได้รับการสัมปทานตั้งแต่ ปี 2552 คนในท้องถิ่นมีความกังวลใจต่อโครงการดังกล่าวอย่างมาก จึงรณรงค์ให้มีการต่อต้านและยื่นเรื่องให้รัฐบาลไทยถอนสัมปทานทุกโครงการ เนื่องจากกังวลว่าจะเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ตลอดจนทำหลายแหล่งท่องเที่ยวอันสำคัญของไทย ซึ่งทางเครือข่ายท้องถิ่นหลายกลุ่มได้ดำเนินการให้ข้อมูลต่อสาธารณะมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในฐานะคนท้องถิ่นมากขึ้น โดยอยากให้มีการรับฟังความเห็นตั้งแต่แรกก่อนลงนามสัมปทาน เนื่องจาก เครือข่ายฯ เห็นว่า ปัญหาความมั่นคงทางอาหารจาก 4 เกาะและคุณภาพชีวิต ตลอดจนมาตรฐานการท่องเที่ยวใน 4 เกาะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความมั่นคงทางพลังงาน จึงอยากให้กรมเชื้อเพลิงได้ทบทวนกฎหมายการสัมปทาน และรายงานความคืบหน้าของแผนโครงการขุดเจาะน้ำมันทุกบริษัทที่ยื่นสัมปทานเพื่อให้ประชาชนรับรู้ เพื่อความโปร่งใสและติดตามความคืบหน้า เนื่องจากขณะนี้ คนในพื้นที่อันอาจได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะน้ำมันฯ ไม่เคยได้รับข้อมูลใดๆที่เป็นลายลักษณ์อักษร จากหน่วยงานรัฐเลย นอกจากแผนพลังงานของบริษัทที่ยื่นสัมปทานและอ้างว่ารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
นายอานนท์กล่าวต่อว่า สำหรับเอกสารและหลักฐานที่เครือข่ายต้องการรับทราบ มี 5 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการเจาะสำรวจปิโตรเลียม ของบริษัท ซาลามานเดอร์ เอนเนอร์ยี่ (บัวหลวง) ลิมิเต็ด บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G 4/50 ภายใต้บริษัท อีอาร์เอ็ม สยาม จำกัด 2.โครงการเจาะน้ำมันฯ ของบริษัท เชฟรอน ปิโตรเลียม (ประเทศไทย) จำกัด แปลงสำรวจ G 4/50 ภายใต้การทำรายงานของ เตตร้าเทค อิงค์ และบริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์เอ็นจีเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ (ยูเออี) ปัจจุบันดำเนินการโดยบริษัท ซาลามานเดอร์ ฯ 3.โครงการเจาะสำรวจน้ำมันฯ แปลงสำรวจในทะเล หมายเลข G 5/ 50 ของบริษัท นิวคอสตอล (ประเทศไทย) จำกัด จัดทำรายงานโดย บริษัทโปรเอ็น เทคโนโลยี จำกัด (ปัจจุบันรับสัมปทาน โดยบริษัท ซีเอซี อินเตอร์เนชันแนล ลิมิเต็ด (สาขาประเทศไทย) 4.โครงการเจาะสำรวจ ฯ แปลง B 6 /27 ของบริษัท ปตท.สผ.(มีแผนขุดเจาะในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ) และ 5.โครงการเจาะสำรวจฯ แปลงทะเล หมายเลย B 8/38 อ่าวไทย ของบริษัท ซาลามานเดอร์ เอนเนอร์ยี่ฯ
“การที่ต้องเร่งร้องเรียน เพราะที่ผ่านมาคนท้องถิ่นรู้สึกว่า กระทรวงพลังงานทำหน้าที่แทนบริษัทที่ขอสัมปทาน ไม่ได้ทำหน้าที่ข้าราชการของคนไทย ซึ่งนับว่าไม่ให้เกียรติแก่คนท้องถิ่นในฐานะเจ้าของทรัพยากรเลย ปล่อยประชาชนมืดบอด ด้วยการปกปิดข้อมูล ไม่มีการนำเสนอเราอยากห้ทาง กระทรวงฯ เร่งเปิดเผยข้อมูลทั้ง 5 แปลงภายใน 1 เดือน หากยังไม่ดำเนินการอาจต้องพึ่งศาลปกครอง เหตุกระทรวงไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และปล่อยให้ขั้นตอนดำเนินการไปโดยไม่ฟังเสียงประชาชน การทวงถามวันนี้ไม่ใช่ไม่ไว้ใจกระทรวงหรือมองแง่ร้าย แต่เราต้องการความจริงใจ ทุกคนรักบ้านเกิด รักทรัพยากร ไม่อยากให้รัฐบาลมองแค่รายได้จากพลังงาน แต่อยากให้มองคุณภาพชีวิต และความพอเพียงของคนในพื้นที่เป็นหลัก” นายอานนท์กล่าว
ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องเกาะฯ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาบริษัทที่ได้รับสัมปทาน มีการกล่าวอ้างมาตลอดว่าได้ทำอีไอเอแล้ว โดยเฉพาะปตท.ซึ่งมีความก้าวหน้าเรื่องการดำเนินการมากกว่าบริษัทอื่น ๆ จึงอยากให้ กระทรวงพลังงานและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับฟังความเห็นประชาชนตั้งแต่ก่อนอนุมัติสัมปทาน และต้องดูแลเรื่อง ความโปร่งใสในการทำอีไอเออย่างชัดเจน ด้วย เนื่องจากหากมีการขุดเจาะ ความเสียหายจะเกิดขึ้นไม่ต่างจากกรณีน้ำมันรั่วในเกาะเสม็ด จ.ระยอง และอาจทวีความรุนแรงมากกว่าด้วย
ด้านนางวรรณาภรณ์กล่าวว่า กรณีน้ำมันรั่วไหลเกาะเสม็ด ไม่ได้เกิดจากการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทย แต่เกิดจากการขนส่งน้ำมัน ส่วนใหญ่ไทยนำเข้าจากประเทศโอมาน ดังนั้นกรณีเกาะสมุยและเกาะอื่นแม้ไม่มีการสัมปทานแต่ต้องมีบ้างสำหรับการขนส่งต้องส่งน้ำมันโดยเรือ ซึ่งหากไม่สำรวจขุดเจาะและผลิตก็ต้องขนส่งผ่าน จึงเป็นคนละกรณีของการสัมปทานขุดเจาะ ทั้งนี้ในส่วนของการลงทุนสัมปทานนั้น เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ของบริษัท คือ การยื่นขอสัมปทานสำรวจทุกบริษัทต้องจ่าย 10,000 บาท และลงทุนในการสำรวจแปลงละประมาณ 1,000 ล้านบาท จากนั้นต้องดำเนินการขั้นตอนอีไอเอ แล้วจึงลงมือผลิตซึ่งเป็นเกณฑ์เดียวกัน ทั่วโลก การให้สัมปทานไม่ได้หมายความว่าจะต้องเจอน้ำมันเสมอไป จึงอยากให้ทางเครือข่ายลดความกังวล
ด้านนางพิมลลักษณ์ คาระวะวัฒนา ตัวแทนหมู่บ้านบางมะขาม ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย กล่าว่า ชาวบ้านต้องการความโปร่งใส จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลควรจะเปิดเผยข้อมูล และเปิดเวทีรับฟังความเห็นตั้งแต่ก่อนสัมปทาน ไม่ใช่ปล่อยให้บริษัทดำเนินการเพียงเพราะจ่ายเงิน 10,000 บาท แล้วทำอะไรก็ได้ในพื้นที่ ซึ่งส่วนนี้อยากให้รับรู้ว่า คนท้องถิ่นมีสิทธิห่วงในบ้านเกิดและไม่มีใครอยากให้มีแปลงสัมปทานทรัพยากรน้ำมันในแหล่งท่องเที่ยวหลักของไทย เพราะประเทศไทย มีเสน่ห์ของวิถีชีวิต และท่องเที่ยวที่สร้างรายได้มหาศาล เราไม่ปฏิเสธว่า ไทยต้องการพลังงาน แต่เราต้องการให้รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นคนในพื้นที่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ขุดน้ำมัน สร้างเขื่อน หรือสร้างโรงไฟฟ้า ทุกอย่างควรเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ปิดลับ และหากมีการทำประชาพิจารณ์อย่างจริงจัง เชื่อว่าคนไทยไม่มีใครต้องการบ่อน้ำมันในสถานที่ท้องเที่ยวอันมีชื่อเสียงของไทยแน่ ๆ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ