'นิธิ' เสนอ 'ประชานิยม' จากทักษิณถึงยิ่งลักษณ์ (ตอนจบ)

นิธิ เอียวศรีวงศ์ 8 ก.ค. 2556 | อ่านแล้ว 1543 ครั้ง

 

               หากดูจากค่าสัมประสิทธิ์จีนี ซึ่งเลวลง ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ไม่มีนัยะสำคัญทางการเมือง หากสังคมยังอยู่ในความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้นับวันก็จะยิ่งทิ่มแทงความรู้สึกของคนรุนแรงมากขึ้น

 

         ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่มีความสัมพันธ์เชิงประเพณีคอยกำกับการกระจายทรัพยากร ผู้คนก็ต้องอาศัยรัฐในการกำกับการกระจายทรัพยากรมากขึ้น และด้วยเหตุดังนั้นจึงคาดหวังจากรัฐมากขึ้นตามไปด้วย การที่การเลือกตั้งกลายเป็นสิ่งที่ขาด(นาน)ไม่ได้ในการเมืองไทย ก็สะท้อนให้เห็นความคาดหวังที่มากขึ้นต่อรัฐดังที่กล่าวนี้นั่นเอง และเมื่อการเลือกตั้งกลายเป็นมิติสำคัญทางการเมือง นักการเมืองจากทุกค่ายก็หันเข้าหานโยบาย redistributive หรือกระจายคืนทรัพยากรด้วยกันทั้งนั้น นับตั้งแต่นโยบายเงินผันของม...คึกฤทธิ์ ปราโมชใน 2518 มาจนถึงนโยบายรับจำนำข้าวจากชาวนารายย่อย การเร่งติดตั้งสายไฟฟ้าทั่วประเทศ และการปรับเปลี่ยนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนถึงการแบ่งงบประมาณลงสู่ท้องถิ่นผ่านอปท.

 

                  ถ้าจะเรียกนโยบายเช่นนี้ว่าประชานิยม รัฐบาลไทยทั้งในระบอบประชาธิปไตยเต็มใบและครึ่งใบ ก็ดำเนินนโยบายประชานิยมมานานแล้ว ไม่ได้เริ่มที่รัฐบาลทักษิณ

 

        

 

             แต่ขอให้สังเกตว่า ประชานิยมเหล่านี้ไม่มีผลให้ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ คนจำนวนน้อยก็ยังสามารถผูกขาดอำนาจไว้ได้เหมือนเดิม แม้จะมีการเลือกตั้ง ตัวเลือกก็คือคนหน้าตาแตกต่างกันในหมู่คนส่วนน้อยและเครือข่ายของเขา คนเหล่านี้อาจแย่งอำนาจกันเอง แต่ไม่คิดจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจให้คนไร้อำนาจ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มีอำนาจมากขึ้น

 

             ประชานิยมของพวกเขาจึงหมายถึงการรับงบประมาณที่รัฐส่วนกลางแบ่งปันไปให้ ไม่ใช่การมีอำนาจตัดสินใจจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นเอง และไม่ใช่การสร้างรายได้ของท้องถิ่นจนเป็นอิสระจากการพึ่งพารัฐ โครงการจำนำข้าวหรือประกันราคาข้าวถูกกำหนดด้วยราคาข้าวในตลาดโลก ซึ่งมักจะตกต่ำต่อเนื่องกันนาน จึงไม่เพิ่มอำนาจทางการเงินแก่ชาวนา เพียงแต่ทำให้ทนผลิตต่อไปได้ (ตราบเท่าที่ยังหารายได้ทางอื่นไม่ได้) หรือการติดไฟฟ้าทุกหมู่บ้าน นอกจากชาวบ้านได้ประโยชน์แล้ว ยังเป็นการลงทุนที่ทำให้การผลิตและการกระจายสินค้าของนายทุนเป็นไปได้กว้างขวางและสะดวกมากขึ้นด้วย (นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะชื่นชมเป็นพิเศษ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบวิน-วิน คือได้ทั้งคู่ แต่เราจะวิน-วินเช่นนี้ไปได้ไกลแค่ไหน โดยไม่ให้กระทบกระเป๋าของนายทุนเลย)

 

             ประชานิยมเช่นนี้ต่างหาก ที่ใกล้เคียงกับประชานิยมที่ทำกันในละตินอเมริกา นั่นคือกระจายคืนทรัพยากรให้แก่มวลชนระดับล่าง แต่ระวังไม่ให้กระทบต่อโครงสร้างอำนาจในแต่ละองค์การเมือง (polity) เป็นที่สังเกตมานานแล้วว่า ผู้นำประชานิยมในละตินอเมริกาคือคนกลางระหว่างชนชั้นนำเดิม ซึ่งได้ส่วนแบ่งทรัพยากรไปมากที่สุด กับมวลชนซึ่งหลุดเข้ามาในเศรษฐกิจตลาด นโยบายประชานิยมจึงช่วยป้องกันการลุกฮือขึ้นปฏิวัติของมวลชน ซึ่งจะรื้อถอนโครงสร้างอำนาจอันไม่เป็นธรรมลง ฉะนี้แล้ว ชนชั้นนำเดิมน่าจะพอใจผู้นำประชานิยม แต่ปรากฏว่าสองฝ่ายกลับต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันตลอดมา

 

 

            ทั้งนี้เพราะประชานิยมนั้น หากกลายเป็นประเด็นแข่งขันทางการเมืองในระยะยาว ย่อมหลีกไม่พ้นที่จะกระทบต่อโครงสร้างอำนาจอย่างแน่นอน (ซึ่งจะกล่าวถึงข้างหน้า) ชนชั้นนำเดิมในละตินอเมริกามองเห็นข้อนี้ หรือเพียงไม่อาจยอมรับผู้นำประชานิยมซึ่งเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายตีน ก็ไม่ทราบได้ แต่ผลก็เหมือนกัน คือปะทะขัดขวางไม่ให้ผู้นำประชานิยมได้อำนาจจากการเลือกตั้ง (แต่สู้ไม่ได้ จึงสนับสนุนการรัฐประหารของกองทัพ)

 

             ในประเทศไทย รัฐธรรมนูญ 2540 ให้สัญญาณ (prospect) ว่า การเลือกตั้งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเข้าสู่อำนาจอย่างมั่นคงต่อไปข้างหน้าอีกนาน จึงเป็นธรรมดาที่การเมืองย่อมหันเข้าหา"คะแนนเสียง"ของผู้เลือกตั้ง พรรคทรท.เล่นกับนโยบาย redistributive ในขณะที่พรรคคู่แข่งคือปชป.เล่นกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (ซึ่งเท่ากับบอกโดยนัยะว่า ประคองให้ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่เพิ่ม social safety net หรือข่ายความปลอดภัยทางสังคม ในทางรูปธรรมคือรับข้อเสนอของ"ภาคประชาชน"มาพิจารณาให้การสนับสนุนทางการเงิน เช่นโครงการมิยาซาวา) ในแง่นี้คือการแข่งขันกันเชิงประชานิยมนั่นเอง

 

             พรรคทรท.ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นด้วยนโยบายประชานิยมที่เป็นรูปธรรมกว่า โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทักษิณ ชินวัตร ขยายนโยบาย redistributive อีกหลายอย่าง (กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารคนจน, ประกันราคาข้าวและผลิตผลการเกษตรอื่นๆ, โอท็อป, ฯลฯ) นโยบายประชานิยมของทักษิณนั้นน่าสนใจทางการเมืองอยู่มาก จึงควรวิเคราะห์โดยละเอียดไว้ด้วย

 

             1/ นโยบายเหล่านี้ กระทบต่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำเดิมไม่สู้มากนัก เพราะเขาหลีกเลี่ยงที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อป้องกันการต่อต้านที่รุนแรงเกินไปจากชนชั้นนำเดิม ขอให้สังเกตว่าเขาไม่ได้แตะระบบภาษี, ไม่ได้แตะเรื่องที่ดิน, ไม่ได้แตะเรื่องการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย, ไม่ได้แตะตลาดหุ้น, ไม่ได้แตะสถาบันพระมหากษัตริย์, ฯลฯ เขาแตะองค์กรอิสระ, แตะวุฒิสภา, แตะกองกำลังติดอาวุธของประเทศ, แตะสื่อ, แตะการเมืองท้องถิ่น  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือทักษิณทำอย่างเดียวกับที่นักการเมืองไทยคนอื่นได้ทำมาแล้ว คือสร้างความเป็นปึกแผ่น (consolidate) แก่อำนาจของตนเอง แต่ด้วยวิธีที่แตกต่างไปจากเดิม (เดิมมักเน้นที่ผนึกอำนาจในกองทัพเช่นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์) ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้เชื่อว่า การเมืองแบบเลือกตั้งจะดำรงอยู่อย่างมั่นคงสืบไป วิธีการสร้างอำนาจทางการเมืองให้เป็นปึกแผ่นก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา

 

             2/ กล่าวกันว่า โครงการประชานิยมของทักษิณส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน แต่ใช้ช่องทางพิเศษ เช่นรับประกันเงินกู้ของธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย ฯลฯ เป็นต้น ทำให้ทรัพยากรงบประมาณรวมซึ่งเคยจัดสรรสนองชนชั้นนำเดิมไม่ถูกกระทบมากนัก

 

             อย่างไรก็ตาม เอาเข้าจริงแล้ว ประชานิยมของทักษิณกระทบต่อชนชั้นนำเดิมหรือไม่ จะเห็นได้ว่ามันเริ่มกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังจะยกตัวอย่างให้ดูเป็นบางกรณี

 

             โครงการ 30 บาทนั้น ทักษิณเสนอให้ประชาชนเป็น"สิทธิ" ไม่ใช่ความอนุเคราะห์จากรัฐ ไม่ใช่เพราะคุณจน คุณจึงควรได้รับการรักษาพยาบาลฟรี แต่เพราะคุณเป็นพลเมืองไทย คุณจึงมีสิทธิทางสุขภาพเท่ากับคนอื่นๆ การยื่นบัตรทองให้โรงพยาบาลเป็นการใช้สิทธิ์ ไม่ใช่การร้องขอ

 

           

              ชนชั้นนำเดิมของไทยทำสังคมสงเคราะห์มานาน เป็นความเมตตาของคนดีที่ให้แก่คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีในชาติ ไม่แบ่งชนชั้น และความสงบสุข ประชานิยมของทักษิณ(โดยตั้งใจหรือไม่ก็ไม่ทราบได้)ปฏิเสธการกระจายทรัพยากรแบบพระเวสสันดรเช่นนี้ ทำให้ได้ใจของมวลชนระดับล่างซึ่งได้เข้ามาอยู่ในสังคมแบบใหม่ คือสังคมผลิตสินค้าแล้ว ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำถึงขั้นวิกฤตของสังคมไทย ทักษิณบอกเขาว่า เขามีสิทธิที่เท่าเทียมกับคนอื่น

 

             น่าสังเกตว่า ข้อคัดค้านของพรรคปชป.ต่อนโยบาย 30 บาทในระยะแรก คือน่าจะทำให้แก่คนจนอย่างเดียว ส่วนคนที่สามารถจ่ายได้ก็ควรให้จ่ายตามเดิม ... โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ปชป.กำลังยืนยันการกระจายทรัพยากรผ่านศีลธรรมเหมือนเดิม

 

             ประชานิยมด้านอื่นๆ ของทักษิณ ก็ทำให้เกิดสำนึกในเรื่องสิทธิ และความเสมอภาค อันเป็นสิ่งที่มวลชนระดับล่างกำลังหิวโหยอยู่พอดีทั้งสิ้น

 

             โครงสร้างอำนาจที่ปล่อยให้คนส่วนน้อยผูกขาดอำนาจทางการเมืองไว้ล้นเหลือ จะดำรงอยู่ต่อไปในสำนึกเรื่องสิทธิและความเสมอภาคได้อย่างไร

 

             ชนชั้นนำเดิมของไทยจึงทำอย่างเดียวกับชนชั้นนำเดิมของละตินอเมริกา คือพยายามปะทะขัดขวางประชานิยมแบบนี้ ระบอบทักษิณนั้นมีอะไรที่เราควรตั้งคำถามอีกมาก แต่ชนชั้นนำเดิมติดใจกับประชานิยมที่ให้สิทธิและความเสมอภาคเหนือมิติอื่นๆ  ในที่สุดก็ทำอย่างเดียวกับชนชั้นนำเดิมในละตินอเมริกา คือสนับสนุนให้กองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจและฉีกรัฐธรรมนูญ ด้วยความหวังว่า ประชานิยมจะไม่นำไปสู่สำนึกเรื่องสิทธิ และความเสมอภาค ใครเคยใหญ่ก็ให้ใหญ่ต่อไป ใครเคยเล็กก็รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง

 

             ปัญหาที่น่าคิดในปัจจุบันก็คือ หากการเมืองยังใช้การเลือกตั้งเป็นเงื่อนไขสำคัญสุดในการเข้าสู่อำนาจ อย่างไรเสียก็หลีกเลี่ยงนโยบายประชานิยมไม่พ้น ยิ่งกว่านี้ ประชานิยมแบบสังคมสงเคราะห์นั้น นับวันก็จะเสื่อมความชื่นชมศรัทธาของประชาชนลง (ยิ่งถ้าเมืองไทยมีเสรีภาพพอจะเปิดให้มีการประเมินโครงการสังคมสงเคราะห์ที่ทำกันอย่างโปร่งใส ก็จะยิ่งเห็นความล้มเหลวของโครงการเหล่านั้นได้ชัดขึ้น) หากการเมืองไทยจะมีความก้าวหน้า การถกเถียงทางการเมืองจะไม่ติดอยู่กับคำประณามแบบสุกเอาเผากินว่า ประชานิยมเป็นความชั่วร้ายในตัวเอง แต่จะเลื่อนขึ้นไปถกเถียงกันว่า จะทำประชานิยมอย่างไรจึงจะมีผลยั่งยืนต่อ"อำนาจ"ของคนไร้อำนาจ ต่อพลังต่อรองทางเศรษฐกิจของคนที่ไร้พลังต่อรองทางเศรษฐกิจ ต่อพลังต่อรองทางวัฒนธรรมของคนไร้พลังต่อรองทางวัฒนธรรม ฯลฯ

 

 

หมายเหตุ  : เขียนจากบันทึกเตรียมอภิปรายเรื่อง"ประชานิยม – จากทักษิณถึงยิ่งลักษณ์" ซึ่งจัดโดย TDRI แต่ด้วยเหตุหลายอย่าง ทำให้ได้พูดเพียงส่วนเล็กๆ ตอนเริ่มต้นเท่านั้น 

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: