ทีดีอาร์ไอแนะวิธีเตือนภัย หนีน้ำป่า-น้ำท่วมฉับพลัน

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย 7 ส.ค. 2556 | อ่านแล้ว 1508 ครั้ง

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันเกิดขึ้นบ่อยครั้งและดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีในหลายพื้นที่  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการบุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตร และการที่มนุษย์ปลูกสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ เนื่องด้วยเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันเป็นภัยที่เกิดขึ้นโดยกระทันหันและรวดเร็ว การเตือนภัยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามดำเนินการเตือนภัยในรูปแบบต่าง ๆ แต่ยังต้องมีการพัฒนารูปแบบการเตือนภัย ที่สามารถเข้าถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะพื้นที่ประสบภัยที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่การอพยพออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัย

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก Economy and Environment Program for Southeast Asia (EEPSEA) ทำการศึกษาปัจจัยและรูปแบบการเตือนภัยที่มีผลต่อการตัดสินใจอพยพของประชาชนในพื้นที่น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน โดยถอดบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใน 10 จังหวัดภาคใต้ โดยเลือกพื้นที่ในจ.นครศรีธรรมราช ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นพื้นที่กรณีศึกษา ประกอบด้วย 6 หมู่บ้าน ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อ.นบพิตำ อ.สิชล และอ.ท่าศาลา ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา มาจากการจัดประชุมกลุ่มย่อย และเก็บแบบสอบถามจากประชาชนในพื้นที่

ดร.กรรณิการ์  ธรรมพานิชวงศ์ นักวิชาการ ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทีดีอาร์ไอเปิดเผยว่า การสำรวจข้อมูลจากแบบสอบถามแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ส่วนแรก ถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจอพยพ  และส่วนที่สอง ถามเกี่ยวกับรูปแบบสื่อเตือนภัยที่ทำให้ตัดสินใจอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย มีจำนวนตัวอย่างที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 332 คน จาก 166 ครัวเรือน แยกเป็นผู้ประสบภัยในอำเภอท่าศาลา 120 คน อำเภอสิชล 122 คน และ อำเภอนบพิตำ 90 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละพื้นที่

ผลการสำรวจพบว่า ร้อยละ 43 (144 คน) ของกลุ่มตัวอย่างตัดสินใจอพยพ ส่วนเหตุผลของการตัดสินใจไม่อพยพออกจากพื้นที่ประสบภัย ได้แก่ เชื่อว่าอาศัยอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เป็นห่วงที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินว่าจะถูกโจรกรรม ถนนถูกตัดขาด ไม่มีพาหนะในการอพยพ มีเด็กและผู้สูงอายุที่ต้องดูแล อยู่ช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นต้น

จากการวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติ แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอพยพประกอบด้วย การได้รับการเตือนภัย การมีสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อรองรับผู้อพยพ เพศ และรายได้ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการเตือนภัย กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับทราบข้อมูลของตำแหน่ง และเส้นทางในการอพยพไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย หรือกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเพศหญิง มีโอกาสที่จะตัดสินใจอพยพมากกว่ากลุ่มตัวอย่างอื่น ๆ เนื่องจากการเตือนภัย จะทำให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลา ความรุนแรงของภัยที่จะเกิดขึ้น และการได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่ปลอดภัย ทำให้กลุ่มตัวอย่างมีข้อมูล ประกอบการตัดสินใจในการอพยพ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเพศหญิง มีโอกาสตัดสินใจอพยพมากกว่าเพศชาย เนื่องจากมีภาระหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของบุตรหลาน ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างผู้มีรายได้สูง มีโอกาสตัดสินใจที่จะไม่อพยพออกจากพื้นที่มากกว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่ำ ทั้งนี้เนื่องจากมีความกังวลว่า บ้านและทรัพย์สินจะถูกโจรกรรมในระหว่างที่อพยพ

การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นว่า การได้รับการเตือนภัยผ่านสื่อเตือนภัยต่าง ๆ มีความสำคัญแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความกระชั้นชิดของภัยที่เกิดขึ้นและปัจจัยอื่น ๆ  โดยในระยะเวลากระชั้นชิดที่มีเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันเกิดขึ้นนั้น สื่อเตือนภัยที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่า มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอพยพไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดคือ วิทยุสื่อสาร เนื่องจากก่อนเกิดเหตุการณ์มักจะมีฝนตกหนักและไฟฟ้าดับร่วมด้วย ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยจึงไม่สามารถรับการแจ้งเตือนทางโทรทัศน์หรือวิทยุได้ นอกจากนี้ ในบางพื้นที่สัญญาณโทรศัพท์มือถืออาจล่ม ติดต่อไม่ได้ และไม่สามารถชาร์ตแบตเตอรี่ได้ ดังนั้นสื่อเตือนภัยที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้นคือ วิทยุสื่อสาร ซึ่งการชาร์ตแบตเตอรีแต่ละครั้งสามารถใช้ได้หลายวัน

อย่างไรก็ตามในยามฉุกเฉิน “เพื่อนบ้านหรือสมาชิกในครอบครัว” เป็นสื่อกระจายข่าวที่สำคัญเนื่องจากสามารถเข้าถึงตัวผู้รับการเตือนภัยได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการ สำหรับการเตือนภัยผ่านทางโทรทัศน์หรือวิทยุนั้น พบว่ามีความเหมาะสมในกรณีที่เหตุการณ์ไม่กระชั้นชิด เป็นการเตือนภัยเพื่อให้ผู้ได้รับการเตือนภัยสามารถเตรียมตัวรับมือได้ล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบและความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่า สิ่งที่ผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันต้องการในการอพยพประกอบด้วย เชือก เสื้อชูชีพ และอาสาสมัครประจำหมู่บ้านที่ให้การช่วยเหลือเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องข้ามลำคลอง ขณะที่อพยพไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย สำหรับพื้นที่ที่ถนนหรือเส้นทางถูกตัดขาด ซึ่งส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถอพยพออกจากที่อยู่อาศัยได้ การเตรียมความพร้อมทางด้านเสบียงอาหารมีความสำคัญ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีบางหมู่บ้าน เริ่มมีการจัดตั้งธนาคารอาหารประจำหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามการศึกษามีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้ภาครัฐต้องมีช่องทางการในการให้ข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยแก่ชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย และควรมีบทบาทในการจัดหาสถานที่รองรับผู้อพยพที่เหมาะสม ปลอดภัย และเพียงพอเพื่อรองรับผู้อพยพในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป็นสถานที่ที่คนในพื้นที่รู้จัก อาทิ โรงเรียน วัด ศาลาชุมชน ฯลฯ โดยจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้คนในชุมชนรับทราบโดยทั่วกัน และควรคำนึงถึงความสะอาดและความเพียงพอ ของเครื่องอุปโภคบริโภค และยารักษาโรค หน่วยงานภาครัฐควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ชุมชนต้องเผชิญ ถ้าเป็นไปได้ควรสนับสนุนและจัดเวทีให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการทำแผนการอพยพของชุมชน เตรียมแผนปฏิบัติการในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในชุมชน มีการซักซ้อมแผนอพยพเป็นระยะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภัยพิบัติขึ้นในพื้นที่

นอกจากนี้ควรมีทางออกเพื่อลดข้อกังวล เกี่ยวกับทรัพย์สินและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน เช่น ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ฝากสัตว์เลี้ยง และการจัดตำรวจออกตรวจพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม ซึ่งจะทำให้ผู้ประสบภัยมั่นใจและยอมอพยพออกจากที่อยู่อาศัย ควรมีการปรับปรุงประสิทธิภาพสื่อเตือนภัย ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และวิทยุสื่อสาร โดยเฉพาะบทบาทการให้ข้อมูลที่สร้างองค์ความรู้ให้ผู้รับสารสามารถนำข้อมูลไปใช้เพื่อช่วยเหลือตนเองและคนรอบข้างได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน  สำหรับวิทยุสื่อสารซึ่งเป็นสื่อที่ผู้ประสบภัยต้องการมากที่สุด ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควรมีการกำกับดูแลให้ใช้งานได้อย่างถูกต้อง และเกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ  ซึ่งผู้ใช้ต้องผ่านการอบรมและมีใบอนุญาต

น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน เป็นภัยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก แต่หากมีระบบการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและความเสียหายลงได้  แต่สิ่งสำคัญคือหลังจากภัยนั้นผ่านไปแล้ว ควรมีแผนฟื้นฟูและเตรียมพร้อมหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญอย่างยิ่งคือความเข้มแข็งของชุมชนและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในชุมชน

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: