เครือข่ายคลังสมองปกป้องปวงชน ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดเวทีเสวนา “พ.ร.บ.ร่วมทุน ประเทศไทย ได้หรือเสีย” เพื่อให้ได้คำตอบร่วมกันว่า พ.ร.บ.การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) นั้น รัฐเน้นให้ประโยชน์ใคร ระหว่างประชาชนหรือเอกชน
น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า พ.ร.บ.การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 เป็นกฎหมายที่ปรับปรุงแก้ไขมาจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ประกาศบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2556 และจะมีผลบังคับเต็มที่ เมื่อคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือที่เรียกว่า คณะกรรมการ PPP (public-private partnership) ประกาศหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในรายละเอียดซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2556 โดยวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงแก้ไขในครั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจและเอกชนมากขึ้น รวมถึงทำให้สามารถแก้ไขสัญญาที่ทำไว้กับรัฐได้ง่ายยิ่งขึ้น
น.พ.นิรันดร์กล่าวต่อว่า กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมเสรีในกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งจะยิ่งเป็นการไปทำลายประชาธิปไตย และก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม เพราะกฎหมายนี้จะแปรรูปให้ทุกอย่างกลายเป็นสินค้าและธุรกิจ เปลี่ยนสมบัติสาธารณะเป็นสมบัติเอกชนของชนชั้นอภิสิทธิ์ เช่น โครงการสร้างมอเตอร์เวย์ไปหนองคาย ต้องเวนคืนที่ดินที่อุดมสมบูรณ์แถวปากช่อง แล้วไล่ชาวบ้านไปอยู่ที่อื่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ในอดีตเราพบโครงการของรัฐและเอกชนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมามาก เช่น โรงไฟฟ้าแม่เมาะ มาบตาพุด ท่อก๊าซที่กาญจนบุรี โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน คิงพาวเวอร์ ฯลฯ ปัจจุบันเรายังเผชิญกับโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท โครงการเหมืองแร่ต่าง ๆ โครงการขุดเจาะน้ำมันและสำรวจปิโตรเลียม ซึ่งพ.ร.บ.ร่วมทุนใหม่ ยกเว้นให้กิจการปิโตรเลียม ไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมายนี้อีกด้วย
หากพ.ร.บ.ร่วมทุน ถูกนำมาใช้บังคับอย่างเต็มที่ น.พ.นิรันดร์ มองว่า จะเกิดความเสียหายในระบบนิติรัฐนิติธรรม เพราะแสดงให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจสามารถออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองได้ เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และแสดงให้เห็นว่า มีการร่างกฎหมายที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามหลักการมีส่วนร่วมตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนเข้าชื่อกัน 20,000 รายชื่อ สามารถเข้าชื่อกันให้วุฒิสภาตรวจสอบได้ และประชาชนสามารถร้องขอให้ศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบการออกกฎหมายหรือนโยบายที่ผิดได้
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า พ.ร.บ.ร่วมทุนฉบับใหม่เป็นการเปิดประตูขนาดใหญ่ ให้เอกชนเข้ามาใช้ทรัพยากรของประเทศ โดยไม่มีมาตรการที่จะควบคุมติดตามตรวจสอบได้ ให้อำนาจคนกลุ่มหนึ่ง คือคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ มีอำนาจยกทรัพยากรให้เอกชน ซึ่งคณะกรรมการฯ มี 7 อรหันต์ ที่เรียกว่าผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งจะเป็นใครมาจากไหนก็ได้ และอาจเป็นคนที่มีผลประโยชน์กับเอกชนได้เช่นกัน
“ช่องว่างสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ เปิดโอกาสให้สัญญาที่เอกชนทำกับรัฐไว้ เมื่อใช้ไปสามารถแก้ไขสัญญาได้ภายหลัง เพราะปัจจุบันนักการเมืองเข้ามาควบคุมการออกกฎหมายและเขียนกฎหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในกระแสทุน นักการเมืองพยายามออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองสามารถตักตวงประโยชน์จากทรัพย์กรได้”
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ในวันที่ 24 กรกฎาคม จะนำเรื่องไปยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มาตรา 28 นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 หรือไม่ และไม่ว่าอย่างไร ก็จะขอสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
ทางด้าน รศ.คมสัน โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อธิบายว่า พ.ร.บ.ร่วมทุนฉบับใหม่ เปิดโอกาสให้มีการฮั้วกันได้อย่างเปิดเผยมากขึ้น และจะก่อให้เกิดการคอร์รัปชั่นอย่างมหาศาล เพราะเขียนไว้ในมาตรา 28 ว่า การอนุมัติโครงการใด ๆ โดยคณะรัฐมนตรีให้ถือว่าเป็นการอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เท่ากับเขียนว่า มติคณะรัฐมนตรีมีค่าเป็นกฎหมาย หรือยกเว้นกฎหมายต่าง ๆ และยกเว้นรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ได้
“มาตรา 28 หากโครงการใด จะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินหรืองบประมาณของหน่วยงานเจ้าของโครงการ หรือจะต้องมีการก่อหนี้โดยการกู้หรือการค้ำประกันโดยกระทรวงการคลังเพื่อใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ เมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบหลักการของโครงการแล้ว ให้เสนอโครงการนั้นต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการและวงเงินงบประมาณรายจ่าย หรือวงเงินที่จะใช้ในการก่อหนี้ของโครงการนั้น ทั้งนี้ ให้ถือว่าการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นการอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี"
รศ.คมสันกล่าวว่า คณะกรรมการ PPP ดูเหมือนว่าดี ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมด้วย 7 คน และมีฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำรวม 10 คน ซึ่งฝ่ายการเมืองกับข้าราชการรวมแล้ว มีจำนวนมากกว่า ครอบงำกรรมการชุดนี้ได้ ปัญหาคือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ แม้จะห้ามถือหุ้นในบริษัทเอกชน หลังออกจากการเป็นคณะกรรมการ PPP แต่ไม่ได้ห้ามการเป็นผู้ถือหุ้นระหว่างยังเป็นคณะกรรมการ PPP อยู่ด้วย และไม่ได้ห้ามลูก เมีย หรือญาติของผู้ถือหุ้นเข้าเป็นกรรมการ PPP
นอกจากนี้ในมาตรา 14 วรรคท้ายของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ฉบับใหม่ ระบุว่า “กรรมการที่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่มีการพิจารณาจะเข้าร่วมประชุม หรือออกเสียงลงคะแนนในเรื่องดังกล่าวมิได้” ซึ่งเป็นเทคนิคการเขียนกฎหมายที่ซ่อนเงื่อนปมเอาไว้ หมายความว่า คนที่มีส่วนได้เสียแม้จะออกเสียงลงคะแนนไม่ได้ แต่ก็สามารถเป็นคณะกรรมการ กฎหมายฉบับนี้เหมือนปูทางให้โครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านเดินทางได้สะดวก
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ