ที่นี่สะพานควาย..เวลาเปลี่ยนไป     หลายสิ่งเปลี่ยนตาม..ศาลเจ้าปุนเถ้ากง

ศรินทิพย์ แจ่มกระจ่าง โรงเรียนนักข่าว TCIJ 20 ก.ค. 2556 | อ่านแล้ว 2667 ครั้ง

ย้อนไปเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่คุณตาสุชาติ ชูชาติ คนไทยเชื้อสายจีนที่ย้ายถิ่นฐานจากชลบุรี เข้ามาอยู่ในย่านซอยเสนานิคม เขตจตุจักร เพื่อประกอบอาชีพค้าขาย แต่ก็ต้องเลิกราไป เพราะทนค่าเช่าที่ไม่ไหว จนเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา คุณตาถูกชวนให้มาเป็นผู้จัดการศาลเจ้าปุนเถ้ากง ย่านสี่แยกสะพานควายจนถึงทุกวันนี้

คุณตาบอกเล่าถึงบรรยากาศอันคึกคักของศาลเจ้าแห่งนี้ในอดีต รวมถึงคำบอกเล่าของคนที่อยู่มาก่อน และเคยอยู่แถวนี้ที่ร่วมวงสนทนาด้วย “สมัยนั้นคนเยอะ ผู้ใหญ่มักนัดมาพูดคุยกัน ขณะที่เด็กมักจับคู่เล่นกับเด็กด้วยกัน เพราะขาดแคลนสถานที่สำหรับนัดพบ”  แต่ในปัจจุบันกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ผู้ใหญ่ที่มาไหว้เจ้าเป็นประจำก็น้อย เด็ก ๆ ที่เคยสร้างเสียงหัวเราะอันร่าเริง และเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่ศาลเจ้าจึงน้อยตามไปด้วย

 

 

ศาลเจ้าแห่งนี้ มีอายุมากว่า 50 ปี เริ่มต้นตั้งอยู่ท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้ จนในสมัยนี้มีแต่ตึกสูงขึ้นมาแทนที่ และอยู่มานานจนกระทั่งคนรุ่นแรกที่ผูกพันกับศาลเจ้าแห่งนี้ค่อยๆ  “กลับบ้านเก่า ที่เหลือ อยู่คือส่วนน้อย” คุณตาบอกเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่มีสีหน้ากังวลเมื่อพูดถึงความตาย อาชีพผู้จัดการศาลเจ้า ซึ่งได้เงินเดือน 10,000 บาทต่อเดือน แลกกับภาระงานดูแลความเรียบร้อยของศาลเจ้าทุกอย่าง ตั้งแต่ กวาดถู ล้างจาน ทำกับข้าว ให้อาหารปลา เตรียมของให้พร้อมสำหรับเทศกาล เรียกว่า ทำทุกอย่างตามแต่เจ้านายสั่ง รวมไปถึงหน้าที่ใหม่ตามสถานะของศาลเจ้าในช่วงไม่กี่ปีนี้ คือ คนเฝ้ารถ

สถานะที่จอดรถของศาลเจ้า เริ่มมาจากการเป็นที่จอดรถของเหล่ากรรมการมูลนิธิและลูกหลาน ในภายหลังเมื่อคนมาศาลเจ้าน้อยลง คือมาไหว้เจ้าเพียง 2 ครั้งในหนึ่งเดือน  ”ชิวอิก”และ”จับโหงว” ซึ่งเป็นวันพระตามปฏิทินจันทรคติและความเชื่อของคนจีน แม้แต่กรรมการ ก็มักรวมตัวกันเฉพาะกิจตามเทศกาลเพื่อเตรียมงานประจำปี  หน้าที่ใหม่ของศาลเจ้าจึงเริ่มเด่นชัดขึ้น จากคนในซอยเดียวกันที่มาจอดรถ  เพราะความแอดัดคับคั่งของสะพานควาย ทำให้ผู้อาศัยย่านนี้ไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับจอดรถ ซอยก็เล็กและแคบเกินกว่ารถจะเข้าไปได้ จนถึงคนทั่วไปที่มาจอดเป็นครั้งคราว 2-3 ชั่วโมง สำหรับ 1 วัน อัตราค่าที่จอดรถจึงแบ่งออกเป็น 1.ไม่เสียเงิน เนื่องจากจอดไม่นานในแต่ละครั้ง 2.จ่าย 50 บาทสำหรับจอดทั้งวัน ซึ่งโดย มากมักเป็นหนุ่มสาววัยทำงาน 3.จ่าย 1,000 บาท สำหรับการจอดรถรายเดือน  โดยมากเป็นคนที่อยู่ในซอย ที่มักขับรถออกไปทำงาน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเป็นสีดำ จึงเอารถกลับมาจอดทีนี่ เป็นวัฏจักรไปไม่สิ้นสุด

 

 

บริการของศาลเจ้า เรียกได้ว่าทั้งปลอดภัยและน่าเชื่อถือ เนื่องจากในเวลาปกติ ตามที่ศาลเจ้าเปิด 06.00 – 18.00 น  ผู้จัดการศาลเจ้าก็ทำหน้าที่คนเฝ้ารถอย่างเต็มที่ไม่แพ้การดูแลศาลเจ้า คุณตามักจำรถและเจ้าของที่นำมาจอดประจำทุกคันได้อย่างแม่นยำ และจดทะเบียนรถไว้ทุกครั้งที่มีคนนำรถมาจอดเพื่อความปลอดภัย แม้ว่าจะต้องใช้ชีวิตทั้ง กิน อยู่ หลับ นอน ที่นี่เป็นประจำ แต่หน้าที่คนเฝ้ารถจำเป็นต้องสิ้นสุดลงเมื่อศาลเจ้าปิด จนเมื่อคุณตาเข้านอนเวลาหนึ่งทุ่มจึงจะส่งต่อหน้าที่ให้คนที่รับจ้างกะกลางคืนในช่วงเวลา 19.00 - 5.00 น ซึ่งทางศาลเจ้าต้องเสียเงินจ้างต่อเดือน ประมาณ 6,000 บาท เมื่อหักจากรายได้จึงมีทั้งกำไร ขาดทุน และเท่าทุน ในแต่ละเดือนกำไรมากสุดนั้นไม่เคยเกิน 500 บาท แต่ถ้าขาดทุนก็ต้องเอาเงินกองกลางที่ได้รับบริจาคจากกรรมการแต่ละคนให้มาจ่ายเอง เมื่อถามถึงในกรณีขาดทุน คุณตาบอกว่า “ขาดทุนนิดหน่อยไม่เป็นไร เพราะถือว่าเป็นมูลนิธิ”

ปัจจุบัน ศาลเจ้าแห่งนี้มีคนมาฝากจอดรถเป็นประจำวันละราว 10 คัน ส่วนใหญ่เป็นของคนในซอยเดียวกับศาลเจ้าและเหล่ามนุษย์ออฟฟิศย่านสี่แยกสะพานควาย โดยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ รถของขาประจำก็ค่อยๆทยอยหายไปตั้งแต่เช้า และมักแทนที่ด้วยคนหน้าเก่าๆ ที่คุ้นเคยกันดี ประมาณ 8 – 9 คน เข้ามาไหว้รูปสักการะ ไม่ว่าจะเป็น ฮกเต็กเหล่าเอี๊ย, ปุนเถ้ากง ปุนเถ้าม่า และเจ้าแม่ทับทิม หรือบางคนที่คุณตาสนิทสนม ก็ทักทาย ส่งเสียงคุยกันเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วที่เรียนรู้จากพ่อแม่เมื่อวัยเยาว์ จนพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งคุณตาถึงกับเอ่ยว่า “ผมพูดจีนคล่องกว่าพูดไทยเยอะ”

 

 

เมื่อเทียบกับสมัยก่อนหน้านี้  ที่คุณตาสุชาติบอกว่ามีรถจอด  20 กว่าคัน สำหรับศาลเจ้าขนาดกลางแห่งนี้  คงจะดูแออัดไม่น้อย  ยิ่งกว่านั้นรถแต่ละคันยังบรรจุครอบครัวมาอย่างเต็มที่ เมื่อนึกภาพตามคำบอกเล่าของคุณตา ที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงคนพูดคุยกันด้วยภาษาจีน และเด็กๆที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน  เหล่าผู้ปกครองก็หายตัวไปพบปะญาติสนิทมิตรสหายที่นานๆครั้งจะได้เจอกัน

ยามที่พูดถึงอดีต  สีหน้าของชายชราแสดงออกซึ่งรอยยิ้มอันแสนสุข

แม้ว่าจำนวนคนที่มาศาลเจ้าในทุกวันนี้น้อยลง จำนวนรถก็น้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้งานดูแลความสงบ สะอาด เรียบร้อย ลดลงตาม คุณตากลับกล่าวว่า “แม้งานสบายขึ้น แต่ผมชอบให้มีคนมาคุยเยอะๆมากกว่า มาไหว้เฉย ๆ ก็ได้ อยู่อย่างนี้ง่วง” พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติมว่า “ แต่ก็เข้าใจว่าไม่มีทางเหมือนเดิม”  ดังนั้นเมื่อเหล่ากรรมการนัดพบกันที่ศาลเจ้า คุณตาจึงเข้าไปอยู่ในวงสนทนาภาษาจีนทุกครั้ง และถึงศาลเจ้าจะไม่ได้ทำกำไรจากการเป็นที่จอดรถมากนัก แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องยุบศาลเจ้าเพื่อทำเป็นที่จอดรถแน่ นี่คือสิ่งที่คุณตามั่นใจมาก

ในวัย 70 ปี คุณตาสุชาติบอกว่า “ไม่อยากอยู่เฉย และยังคิดถึงการขายของอยู่ ติดอยู่ที่ไม่มีเวลาหาทำเล และอายุก็มากขึ้นทุกวันๆ”  เมื่อถามถึงความเห็นของครอบครัวต่อการทำงานในวัยที่ควรพัก ผ่อน คุณตาเล่าถึงครอบครัวด้วยสีหน้าภูมิใจว่า “ลูกผมสามคน ชาย 2 หญิง 1 ทุกคนทำงานหมดแล้ว ขาดอย่างเดียวคือยังไม่มีหลาน”

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: