บริหารรัฐบาลให้นโยบายไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนตัวบุคคลคือจุดเด่นของรัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณซึ่งส่งต่อมายังพรรคเพื่อไทย
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเป็นการปรับในเวลาที่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์เดินมาได้ครึ่งทางแล้ว ถ้าไม่มีรัฐประหารของกองทัพหรือตุลาการภิวัฒน์แบบที่ผ่านมา รัฐบาลก็จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกแค่สองปีเท่านั้น
คำถามคือ เราจะประเมินการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีอย่างไร?
กล่าวในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาที่สังคมเกิดการแยกขั้วทางการเมืองที่มีชนชั้นนำและมวลชนเกี่ยวข้องมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นช่วงที่กองทัพแทรกแซงการเมืองทุกรูปแบบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 เป็นช่วงที่เกิดการชุมนุมใหญ่ของประชาชนหลายกลุ่มซึ่งรัฐตอบโต้ด้วยความรุนแรงและการปราบปรามในระดับที่กว้างขวางและยาวนาน รวมทั้งเป็นช่วงที่ความเห็นของสาธารณะต่อประเด็นการเมืองมีความแตกต่างจนหาจุดร่วมกันแทบไม่ได้เลย
เราอาจเรียกสถานการณ์แบบที่คุณยิ่งลักษณ์เผชิญว่าคือการแบ่งขั้วทางการเมืองซึ่งประกอบไปด้วยการแบ่งขั้วทางการเมืองระดับชนชั้นนำ (elite polarization) และการแบ่งขั้วระดับระหว่างประชาชน (popular polarization)
ผลที่การแบ่งขั้วทางการเมืองในเวลานั้น มีต่อสังคมไทยคือ รัฐสภาทำงานแทบไม่ได้ รัฐบาลทุกชุดถูกมวลชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่อต้านเสมอ ประชาชนสนใจการเมืองในแง่เนื้อหาสาระน้อยกว่าการเลือกข้างทางการเมือง การผลักดันนโยบายสาธารณะและกฎหมายสำคัญ เป็นเรื่องทำได้ยากลำบาก สถาบันการเมืองทั้งหมดถูกทุกฝ่ายมองอย่างคลางแคลงใจ แม้กระทั่งนโยบายต่างประเทศอย่างเขาพระวิหารก็กลายเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยเอง
สำหรับรัฐบาลในสถานการณ์แบบนี้ ภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญคือ พาสังคมออกไปจากภาวะนี้ให้ได้ รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้มเหลว เพราะนอกจากทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้การแบ่งขั้วรุนแรงกว่าเดิม ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกจากภาวะนี้ด้วยยุทธศาสตร์การเมืองที่มุ่งสร้างความเป็นปึกแผ่นแบบประชาธิปไตยสามลักษณะ (democratic consolidation) ด้านหนึ่งคือสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับกองทัพและชนชั้นนำในขั้วการเมืองตรงกันข้าม ด้านที่สองคือ สลายการเมืองมวลชนที่มีแนวโน้มเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูกระบวนการประชาธิปไตย ด้านที่สามคือรื้อโครงสร้างและกลไกเชิงสถาบันที่เอื้อต่อการแทรกแซงของกองทัพแบบไม่สร้างความสั่นสะเทือน จนฝ่ายนั้นตอบโต้ด้วยวิธีทำลายประชาธิปไตย
สองปีที่ผ่านมา ยุทธศาสตร์สร้างความเป็นปึกแผ่นแบบประชาธิปไตยสองข้อแรกได้ดำเนินการไปแล้ว ส่วนข้อที่สามยังไม่มีสัญญาณว่าจะเริ่มต้นแม้แต่นิดเดียว จึงอาจคาดการณ์ฉากทางการเมืองต่อจากนี้ได้ดังนี้
1) ด้วยยุทธศาสตร์ใหญ่ดังที่กล่าวไป แนวการดำเนินงานของรัฐบาล จึงรวมศูนย์ที่การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับกองทัพและชนชั้นนำแทบทุกรูปแบบ ตั้งแต่ไม่แก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองล่าช้า ช่วยให้ผู้นำกองทัพลอยตัวจากความผิดในการสลายการชุมนุม ส่วนผลที่ได้รับคือความไว้ใจจากกองทัพ ถึงขั้นยอมให้คุณยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมได้โดยตรง
ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้สำคัญ แค่เพราะคุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำพลเรือนและผู้หญิง แต่สำคัญเพราะเป็นสัญญาณของการยุติการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ และผู้มีอิทธิพลทางการเมืองทั้งปวง จึงไม่แปลกที่จะมีผู้ไม่พอใจการปรองดองครั้งนี้ โดยเฉพาะคนกลุ่มที่หวังให้เกิดการรัฐประหารหรือล้มรัฐบาลด้วยวิธีอื่นขึ้นมา
สองปีนับจากนี้ไปเป็นสองปีที่ฝ่ายซึ่งไม่พอใจเรื่องนี้ (ตั้งแต่พรรคฝ่ายค้าน ทหารนอกเครือข่ายผู้มีอำนาจในกองทัพรุ่นปัจจุบัน มวลชนฝ่ายตรงข้าม สื่อมวลชนบางกลุ่ม หรือแม้แต่ชนชั้นนำกลุ่มปฏิปักษ์ประชาธิปไตย) จะดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างรอยร้าวระหว่างกองทัพกับรัฐบาล
คลิปหลุดเป็นหลักฐานหนึ่งของความพยายามนี้ หลังจากนี้คงมีเรื่องแบบนี้มากขึ้นตามเงื่อนไขที่อำนวย คำถามคือรัฐบาลจะทำอย่างไรกับพลังต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังกรณีคลิป เพื่อไม่ให้มีกรณีอื่นตามมา
2) ขณะที่ลดการเผชิญหน้ากับชนชั้นนำฝ่ายตรงข้ามลง รัฐบาลก็เดินหน้าสร้างมวลชนผ่านนโยบายสาธารณะที่เพิ่มรายได้ให้ประชาชนโดยตรงและกระตุ้นให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่มีพลวัตรขึ้น นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท และจำนำข้าวช่วยเพิ่มคะแนนนิยมในหมู่กรรมกรและชาวนาไปแล้วแน่ ๆ ส่วนโครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างรถไฟความเร็วสูง และการบริหารจัดการน้ำก็จะสร้างคะแนนนิยมในหมู่ผู้ประกอบการ และคนชั้นกลางต่างจังหวัด ที่ได้ประโยชน์ในรูปการขายที่ดิน สร้างอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ หรือโอกาสในการมีงานทำ
เป็นที่ยอมรับกันว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องของพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย คือหลักฐานว่าฝ่ายนี้ได้รับความนิยมในเขตชนบทที่แน่นหนา จนไม่มีกลุ่มไหนเทียบได้ แต่ก็เป็นที่ยอมรับในขณะเดียวกันว่านับจากปี 2549 เป็นต้นมา คนชั้นกลางในเมืองและเขตเทศบาลคือฐานที่มั่นใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลในปฏิบัติการการเมืองมวลชนและการระดมคะแนนเสียงทั้งหมด ซึ่งในทางกลับก็คือหลักฐานว่าฝ่ายรัฐบาลล้มเหลวในการเพิ่มความนิยมในเขตเมืองให้ได้มากกว่าที่ผ่านมา
สองปีหลังจากนี้ การแย่งชิงคนชั้นกลางในเมือง จะเป็นสมรภูมิใหญ่ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มตรงข้าม ยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัฐบาลคือ ผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงและการบริหารจัดการน้ำให้เร็วที่สุด ส่วนยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามคือการล้มหรือทำให้โครงการชะลอลง
สำหรับรัฐบาลแล้ว ถ้าผลักดันโครงการนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้โครงการนี้ไปสลายการแบ่งขั้วทางการเมืองในหมู่มวลชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลให้รู้สึกเป็นปฎิปักษ์กับรัฐบาลให้น้อยลง รวมทั้งป้องกันไม่ให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลใช้โครงการนี้ไปค้ำยันการแบ่งขั้วทางการเมืองจากความขัดแย้งที่ต้องเกิดแน่ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในการเวนคืนที่ดิน
โดยเบื้องต้นแล้ว นโยบายนี้เกี่ยวพันกับการเวนคืนที่ดินจำนวนมหาศาลที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติว่าจะเวนคืนกี่ไร่และในเส้นทางไหน แต่เท่าที่มีข้อมูลปรากฎ โครงการบริหารจัดการน้ำต้องเวนคืนที่ดินสี่หมื่นไร่ ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงสายเหนือต้องเวนคืนที่ดินอีก 7,700 ไร่ ถ้ารวมการเวนคืนเพื่อรถไฟสายใต้และสายอีสานเข้าไป ยอดการเวนคืนทั้งหมดคงไม่น่าจะต่ำกว่าหกหมื่นไร่ ยังไม่ต้องพูดถึงการเวนคืนเพื่อสร้างรถไฟใต้ดินและบนดินอีกหลายสายในเขตกรุงเทพมหานคร
ถ้ายอมรับว่าที่ดินคือกรรมสิทธิเอกชนที่ละเมิดไม่ได้ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือดำเนินการให้โครงการเหล่านี้เป็นธรรมกับประชาชนฝ่ายถูกละเมิดให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่นจะบริหารการมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการอย่างไร? ทำอย่างไรให้ผู้ถูกเวนคืนได้รับความเสียหายน้อยที่สุด? อะไรคือหลักประกันว่าการเวนคืนจะไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของบางกลุ่ม? ออกแบบการประชาพิจารณ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถาบันการเมืองจากการเลือกตั้งมีส่วนร่วมได้หรือไม่ ? ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลไม่เคยพูดในช่วงที่ผ่านมา
มวลชนบนที่ดินอย่างต่ำหกหมื่นไร่ คือมวลชนที่มีโอกาสเป็นได้ทั้งผู้สนับสนุนรัฐบาลและผู้สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
การฟ้องศาลปกครองเพื่อชะลอโครงการบริหารจัดการน้ำคือตัวอย่างของสมรภูมิคนชั้นกลางเมืองที่เกิดขึ้นแล้ว คำถามคือรัฐบาลจะสรุปบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้อีกอย่างไร ทำอย่างไรที่การเร่งผลักดันโครงการจะโปร่งใสและไม่ละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด? ทำอย่างไรที่การเวนคืนโครงการจะไม่สร้างความเดือดร้อนจนถึงจุดที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชนผู้ได้ผลกระทบโดยตรง?
3) สองปีที่ผ่านมา กองทัพและชนชั้นนำมีแนวโน้มจะเป็นอุปสรรคในการสร้างความเป็นปึกแผ่นแบบประชาธิปไตยของรัฐบาลน้อยลงเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองและมวลชนฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ดี คนกลุ่มนี้รบกวนการทำงานของรัฐบาลได้ไม่มาก ถ้าปราศจากการใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือ นั่นเท่ากับฝ่ายต่อต้านมียุทธศาสตร์แบบตั้งรับในความหมายว่าพวกเขาริเริ่มทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ หากรัฐบาลไม่ดำเนินการพลาดจนเปิดโอกาสให้องค์กรอิสระยื่นมือเข้ามา
ตราบใดที่ไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อลดบทบาทองค์กรอิสระ การปรับปรุงประสิทธิภาพคณะรัฐมนตรีคือวิธีป้องกันเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเข้าใจว่าความสำเร็จของรัฐบาลเชื่อมโยงโดยตรงกับความสำเร็จในการบริหารนโยบายสาธารณะใหม่ๆ อย่างจำนำข้าวและโครงการขนาดใหญ่ด้านอื่น บทบาทของคณะรัฐมนตรีก็ยิ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
ในการผลักดันนโยบายจำนำข้าวหรือโครงการอย่างการจัดการน้ำและรถไฟความเร็วสูง รัฐบาลดำเนินการผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนเก่า ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเข้าสภาครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เป็นอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย และรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องการจัดการน้ำเป็นอดีตปลัดกระทรวงซึ่งมีชื่อเสียงไม่ดีนัก ในการทำงานกับประชาชน ท่ามกลางความขัดแย้งด้านการจัดสรรทรัพยากร จึงเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่ทั้งหมดล้วนไม่เคยมีประสบการณ์บริหารโครงการขนาดใหญ่แบบนี้มาก่อน ซ้ำยังเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ในบริบทของนโยบายใหม่ ซึ่งต้องการประสบการณ์ในการจัดการทางการเมือง และการดึงพลังราชการมาเอื้อต่อการทำงานให้ได้มากที่สุด
พูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ความผันผวนที่เกิดแก่นโยบายจำนำข้าวและโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ เป็นสัญญาณว่า การบริหารนโยบายด้วยวิธีนี้ไม่ประสบความสำเร็จ นโยบายที่ใหม่และใหญ่เหล่านี้ต้องการรัฐมนตรีที่เข้าใจนโยบายมากเท่ากับมีทักษะทางการเมือง และการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของระบบราชการ
ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ปรากฎการณ์สำคัญที่สุด อยู่ที่การดึงข้าราชการประจำมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหลัก รัฐมนตรีกลุ่มนี้เกษียณอายุมาไม่นานนัก แต่ก็ไม่มีใครที่ในอดีตแล้วใหญ่โตจนได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย-ถ้ายอมรับว่ามีเครือข่ายนี้อยู่-แนวทางนี้ทำให้รัฐบาลได้องค์ความรู้และประสบการณ์แบบราชการมาช่วยในเรื่องที่นักการเมืองรู้ไม่มาก นอกจากนั้นคือยังได้สร้างเครือข่ายกับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านเหล่านั้นไปด้วย
พูดให้สั้นคือปรับคณะรัฐมนตรีรอบนี้ ทำให้รัฐบาลได้ทั้งประสบการณ์จากอดีตข้าราชการและเครือข่ายการทำงานของข้าราชการปัจจุบัน แต่ยังไม่เห็นว่าจะบริหารเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะตามมาจากนโยบายหลายเรื่องได้อย่างไร เช่น ทำไมไม่มีรัฐมนตรีจากฝ่ายการเมืองสักคนที่ดูแลเรื่องความโปร่งใส การเวนคืน และการประชาพิจารณ์
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือการประเมินยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในอนาคต ผ่านการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ แต่ความผันผวนของรัฐบาลและการเมืองไทยมีมากจนไม่แน่ว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ ความผันผวนจากปัจจัยภายนอกคือสิ่งที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ ส่วนปัจจัยภายในรัฐบาลคือปัจจัยที่ควบคุมได้โดยต้องไม่ลืมภารกิจหลักในการสร้างความเป็นปึกแผ่นแบบประชาธิปไตย
ลืมเรื่องนี้เมื่อไร ก็เตรียมรับความล้มเหลวของทุกสิ่งที่ทำไปในรอบสองปีได้เลย
ขอบคุณภาพจาก www.Tslkystory.com และ Google
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ