“น้องมาทำอะไรที่นี่” พนักงานขายตั๋ว หญิงวัยกลางคนสีหน้าเคร่งเครียดถามเสียงแข็ง มองด้วยสายตาไม่ไว้ใจผ่านช่องขายตั๋ว ไล่สายตาขึ้นลงจนมาหยุดอยู่บนกล้องที่ฉันคล้องคอไว้ ฉันตอบไปว่ามาดูหนัง แต่ยังไม่วายถูกถามย้ำว่า ทำไมต้องพกกล้องมาด้วย อธิบายถึงจุดประสงค์ว่าชอบโรงหนังที่นี่ มันเก่าดี ไม่เคยเห็น พนักงานฉีกตั๋วให้พร้อมรับเงินค่าตั๋วราคา 60 บาท แต่ไม่วายเอ่ยกำชับว่า ห้ามเอาไปถ่ายในโรงหนัง หล่อนมองตามฉันพักใหญ่ เมื่อฉันเก็บกล้องเข้ากระเป๋าแล้วนั่งเล่นอยู่หน้าโรงหนัง จึงหันไปฉีกตั๋วให้ลูกค้าที่ต่อคิวอยู่
หน้าโรงหนังบริเวณทางเดินขึ้น มีที่พักสูบบุหรี่พร้อมโซฟาให้นั่ง หากหันหน้าออกสู่ถนนมองเหนือขึ้นไปจะเห็นอักษรโฟมบอกชื่อภาพยนตร์เปลี่ยนใหม่ทุกวันอังคารและศุกร์ ถัดมาเป็นป้ายเชิญชวนชมภาพยนตร์ใหม่ทุกโปรแกรม ขณะที่โปสเตอร์ด้านข้างบอกว่าภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายเร็ว ๆ นี้ คือ หนังไตรภาคโจรสลัดชื่อดังเมื่อสามปีที่แล้ว
ทางขึ้นโรงหนังมีพนักงานเก็บตั๋ววัยกลางคนท่าทางเบื่อหน่าย สายตามองออกไปนอกโรงหนังแทบตลอดเวลา ไม่มีคำสนทนากับลูกค้าคนไหน
ชานบันไดขั้นบนสุด ชายสูงอายุสวมเสื้อกุยเฮงกางเกงขาสั้น ผมขาวโพลนนั่งพิงราวบันได ฉันเข้าไปสอบถามเรื่องโรงหนัง ทราบว่าลุงคือคนฉายหนัง แต่ตอนนี้ไม่มีหนังให้ฉาย เปิดจากแผ่นซีดี ผู้จัดการจะเลือกหนังมาให้ เปิดวนกัน หนังไทย จีน ฝรั่ง ถามคุณลุงต่อว่า แล้ววันนี้ฉายเรื่องอะไรบ้าง คุณลุงส่ายหัว พร้อมเอ่ยว่า “ไม่ต้องเข้าไปดูหนังหรอกหนู เข้าไปดูเดี๋ยวก็ถูกกวนเอาเปล่าๆ” ก่อนจะผละจากไป
ฝนเริ่มลงเม็ด ทว่าจำนวนลูกค้าทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย มีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคนเลยไปจนถึงวัยชรา บางคนมาพร้อมไม้เท้า ส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาดดูมีราคา บางคนพรมน้ำหอมจัดจนฉันเผลอจามออกมา ทุกคนดูรีบเร่งเดินก้มหน้า แทบไม่มีใครเหลือบมองดูป้ายบอกเรื่องหนัง หลายคนมองซ้ายขวาขณะยื่นตั๋วให้พนักงาน บางคนมองมาที่ฉันพร้อมเลิกหัวคิ้วเหมือนถามคำถาม น่าแปลกคือ หากไม่นับฉัน ลูกค้าทั้งหมดเป็นผู้ชาย และมาคนเดียว
เวลาจวนเที่ยง ชายหนุ่มร่างผอมผิวขาวหน้าตายิ้มแย้ม ผลักประตูโรงหนังออกมาอย่างรีบเร่ง ระหว่างลงบันได ฉันเอ่ยถามเขาว่าเป็นลูกค้าประจำของของที่นี่หรือ เขาหยุดคุยกับฉันชั่วครู่ จึงได้รู้ว่า ชายหนุ่มขายของอยูด้านในโรงหนังมากว่า3ปี รายได้ไม่ถึงกับดีแต่พออยู่ได้ เพราะมีลูกค้าตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ เขาถามถึงจุดประสงค์ของฉัน ฉันชูตั๋วหนังให้ดูและบอกเพิ่มเติมว่า ต้องการเขียนเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ เพราะเห็นเป็นโรงหนังเก่า ไม่คิดว่ายังมีคนมาดูอยู่ ประโยคหลังทำให้คู่สนทนาชะงักลงชั่วครู่และกล่าวต่อว่า “ที่นี่เป็นโรงหนังธรรมดาไม่มีอะไรหรอก จะทำเรื่องของเก่า ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างหน้าโรงหนังก็เก่า ทำไม่ไม่ไปทำ แต่ถ้าจะดูหนัง โน่น ไปดูที่เซ็นทรัล”
เกือบบ่ายโมงฉันยังนั่งอยู่หน้าโรงหนัง เผื่อโชคเข้าข้างอาจได้คุยกับลูกค้าสักคน หลายคนพอฉันทำท่าจะเข้าไปถามก็เดินหนีเสียทุกราย เดินวนไปวนมาหน้าโรงหนังอยู่ราวยี่สิบนาที ชายหนุ่มคนเดิมเดินสวนทางกับลูกค้าออกจากประตูโรงหนัง เขาทำท่าตกใจที่เห็นฉันยังอยู่ จึงเดินเข้ามาคุยด้วย บอกว่าอยากรู้อะไรถามเขาก็ได้ ไม่ต้องบอกชื่อได้ไหม จะตอบให้ถ้าตอบได้แต่ไม่ขอพูดมาก ฉันถามว่า จริง ๆ แล้วคนมาที่นี่เขามาทำอะไรกันแน่
“พี่ฟันธงเลยว่า คนมาที่นี่ 99.99 เปอร์เซนต์ เป็นเกย์ เขาไม่ได้มาดูหนังกัน เขามาหาเพื่อน น้องเข้าใจใช่ไหมคำว่า หาเพื่อน เข้าไปก็ไม่ได้ดูหนังหรอก เสียงมันดัง” ถามต่อเรื่องจำนวนคนเข้าแต่ละวัน คำตอบที่ได้คือ วันหนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อย มากสุดก็สองร้อย มาตั้งแต่โรงหนังเปิดสิบโมงเช้าถึงโรงปิดตอนสามทุ่ม พนักงานมีแค่แปดคน คำถามจบลงแค่นั้น เมื่อชายหนุ่มผละออกไปรับกล่องลังหน้าโรงหนัง เพื่อยืนยันคำตอบ ฉันเข้าไปสอบถามลูกค้าที่ออกมาพักสูบบุหรี่ ด้วยประโยคเดิม “พี่มาดูหนังที่นี่ประจำเหรอคะ”
“มาประจำค่ะ แต่ไม่ได้มาดูหนัง พี่ชอบนัดแฟนให้มาหาที่นี่” ชายหนุ่มร่างผอมผิวสองสี แต่งกายราวกับนักร้องญี่ปุ่น ใส่ต่างหูพลอย กันคิ้วโก่ง พี่เล่าต่อว่า ตนกับคู่รักมักนัดมาเจอกันที่นี่ เพราะไม่กล้าพบกันในที่สาธารณะ กลัวคนเอาไปนินทา บางทีไม่ได้มาเจอแฟนก็มาหาเพื่อน ชอบที่นี่เพราะมันมืด เข้าไปบางทีก็ไม่รู้ใครเป็นใคร
“คนส่วนใหญ่มาที่นี่ก็มาหาเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่มีใครมาดูหนังกันหรอก คนที่มาดูหนังจริง ๆ ถามว่ามีไหม ก็มีนะ อย่างพวกคนต่างจังหวัดที่เขาไม่รู้จริง ๆ เห็นราคาตั๋วถูกเขาก็เข้ามา แต่พอนั่งไปสักพักเขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ เขาก็รีบออกไป อย่างน้องเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นเพื่อนพี่พี่ไม่ยอมให้มาเด็ดขาด พี่เป็นห่วง เพราะตรงนี้เป็นที่อโคจร ไม่ใช่มันไม่ดีหรือว่าน่ารังเกียจนะ แต่มันไม่เหมาะกับน้อง ถ้าน้องเข้าไป หรือบางทีเป็นพวกหน้าใหม่ ที่นั่นเขามีขาประจำ ปากร้ายนะ จะโดนพูดจิกกัดใส่เอาได้ บางทีพี่ก็กลัวนะ แต่กลัวจะโดนขโมยของเพราะข้างในมันมืด คนเยอะ กระเป๋านี่ พี่ต้องกอดเอาไว้ตลอด”
ฉันถามต่อถึงเรื่องค้าประเวณี พี่คนเดิมตอบว่า ไม่คิดว่ามีเรื่องแบบนั้นข้างใน เพราะมันมีกฎหมายห้ามค้าบริการในที่สาธารณะ แต่ถ้านัวเนียกันก็มีบ้าง หากจะมีอะไรกันจริง ๆ ส่วนมากจะคุยตกลงกันแล้วไปเที่ยวต่อกันข้างนอก
หลังจบบทสนทนาฉันตัดสินใจเข้าไปในโรงหนัง เดินได้ไม่กี่ก้าวต้องชะงัก เพราะจำนวนคนที่ลุกเดินไปมาขวักไขว่ฝ่าความมืด และเสียงตะโกนแหบปนกับเสียงกระซิบบอกทิศทาง แข่งกับเสียงจากลำโพงภาพยนตร์ที่ กำลังฉายหนังฝรั่งพากย์ไทย ยืนอยู่ได้ไม่นาน ฉันเดินออกมาด้านหน้าโรงหนัง หญิงขายตั๋วคนเดิมรีบปรี่เข้ามาไล่ “นี่น้องยังไม่ไปอีกเหรอ นึกว่าไปตั้งนานแล้ว ถ้าผู้จัดการมาเห็นพี่จะซวยนะ รีบออกไปได้แล้ว” หล่อนตะโกนไล่พร้อมโบกมือประกอบราวกับฉันเป็นสิ่งผิดปกติ
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากโรงหนัง จากนั้นข้ามมาฝั่งตรงข้าม ถามเรื่องโรงหนังกับแม่ค้าแถวนั้น เขาเล่าว่า แต่ก่อนโรงหนังพหลฯฉายหนังโป๊ เคยถูกตำรวจจับหลายครั้ง ครั้งหลังสุดลงหนังสือพิมพ์ เพราะจับได้ว่ามีการค้าประเวณีแอบแฝง
คำพูดของลูกค้าที่นั่นยังก้องอยู่ในหู ตอนนี้ฉันคงต้องตั้งคำถามกับสังคมไทยอีกครั้ง เรามาไกลขนาดไหนสำหรับเสรีภาพทางเพศ แม้ว่าทั้งในรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 30 ระบุสาระสำคัญไว้ชัดเจนว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ จะกระทำมิได้” หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐสภา ได้ผลักดันร่าง พ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิต สาระสำคัญคือการรับรองสถานภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศในฐานะที่เป็นคู่ชีวิตเยี่ยงชายหญิงปกติทั่วไป
แต่การดำรงอยู่ของโรงหนังพหลโยธินเธียร์เตอร์ ในฐานะพื้นที่เสรีทางเพศของกลุ่มชายรักชาย เป็นสิ่งสะท้อนใช่หรือไม่ว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติใดๆที่ตราขึ้น ยังคงเป็นเพียงแค่ตัวอักษร เพราะสิ่งที่ทำให้โรงหนังพหลโยธินอยู่รอด อาจไม่ใช่เพียงรายได้จากลูกค้า แต่เป็นเพราะการปิดกั้นทางสังคมหรือเปล่า ที่ทำให้โรงหนังแห่งนี้คงอยู่ตลอดมา
ในที่สว่างเขาหรือเธอเหล่านั้นต้องอยู่อย่างหลบซ่อน แต่ภายใต้ความมืดและกลิ่นอับ เสรีภาพทางเพศกลับเปล่งประกาย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ