ในยุคปัจจุบันและอนาคตมีการแข่งขันสูงขึ้น บัณฑิตที่จบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน จึงถูกคาดหวังสูง ว่าจะสามารถปฏิบัติงานได้ทันที แต่ในความเป็นจริงบัณฑิตจำนวนไม่น้อย ถูกประเมินว่า ยังมีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอหรือไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ โลกของความรู้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ขณะที่ภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรม มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อการแข่งขันในตลาดเชิงธุรกิจ ภาคการศึกษากลับขยับตัวช้า และขาดการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมเหล่านั้น ทำให้บัณฑิตที่จบการศึกษาแล้ว ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ก่อนเริ่มปฏิบัติงานจริง รวมถึงต้องมีศักยภาพที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รับข้อมูลความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปตลอดชีวิตการทำงาน
นี่คือประเด็นสำคัญจากการเสวนาวิชาการนานาชาติ ด้านการศึกษา ที่สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “เยาวชนกับการจ้างงาน” โดยมี นายมัตทิเยอ คอนยักผู้เชี่ยวชาญด้านการจ้างงานจากองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (Youth Employment Specialist, International Labor Organization หรือ ILO) ประจำภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิกเป็นผู้นำเสนอหลัก นายคอนยักได้บรรยายว่าในจำนวนเยาวชนที่มีอยู่ 73 ล้านคนทั่วโลก เป็นคนตกงานในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก 36 ล้านคน โดยเฉลี่ยเยาวชนมีโอกาสว่างงานสูงกว่าผู้ใหญ่สูงถึง 5.3 เท่า
สำหรับประเทศไทยแม้จะมีอัตราการว่างงานของเยาวชนต่ำเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก แต่จากการวิจัยพบว่า ประเทศไทยมีสถานประกอบการนอกระบบที่ใหญ่โตมาก ส่งผลให้เยาวชนมีโอกาสที่จะถูกจ้างให้ทำงานที่ไม่เหมาะสม งานที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีกลไกปกป้องทางสังคมที่เข้มแข็ง เนื่องจากเยาวชนขาดการชี้นำเรื่องอาชีพ การให้ข้อมูล ทางเลือก ความเข้าใจโลกของคนทำงานผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะเยาวชนจึงถูกบังคับให้ทำงานนอกระบบ และหลาย ๆ คนทำงานแลกกับรายได้ ที่ไม่พอเลี้ยงชีวิต ดังนั้น ความท้าทายของปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การสร้างงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานที่มีศักดิ์ศรีและค่าตอบแทนที่เหมาะสม เนื่องจากในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะมีตำแหน่งงานมาก แต่งานส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำ หลาย ๆงานมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยและสุขภาพ
นายคอนยักเน้นว่า สิ่งที่เรียนรู้ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือศูนย์ฝึกอาชีพ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตำแหน่งงานในตลาด ที่ผ่านมาพบว่า มีเยาวชนผู้ด้อยโอกาสจำนวนมาก ที่เข้าไม่ถึงหลักสูตรสร้างเสริมทักษะทั้งยังขาดการอบรมให้ความรู้ และการแนะแนวอาชีพในรูปแบบต่าง ๆ บางครั้งเยาวชนอาจมีทักษะ แต่ไม่ได้นำมาใช้กับการทำงานของตน ในทุก ๆ วันเยาวชนจำนวนมากขวนขวาย เพื่อให้ได้ปริญญาหรืออนุปริญญา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตลาดแรงงานหรือผู้ประกอบการต้องการ หนทางแก้ไขคือ การส่งเสริมให้เยาวชนสั่งสมประสบการณ์การทำงานไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น ผ่านโครงการฝึกอบรมหรือการฝึกงานอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือสถานศึกษาควรมีหลักสูตรที่สอนให้เยาวชนได้ทราบถึงการเป็นผู้ประกอบการเป็นอย่างไร ไม่ใช่การสอนให้เขารู้แค่การประกอบอาชีพ เป็นลูกจ้าง เป็นพนักงานเท่านั้น พร้อมทั้งปลูกฝังให้ตระหนักถึงสิทธิของตนในที่ทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในทุกรูปแบบ
สอดคล้อง กับดร. วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงจนอาจคาดการณ์ไม่ทัน เห็นได้จากคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนการตลาด การค้าขายก็ต้องเปลี่ยน ดังนั้น การศึกษาก็ต้องได้รับผลกระทบเช่นกัน และถ้าจะพูดถึงอัตราการว่างงานของเยาวชนไทยใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเยาวชนที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา และกลุ่มเยาวชน อายุ12-16 ปี จบการศึกษาภาคบังคับ จะพบว่าเยาวชนที่จบมหาวิทยาลัยมีอัตราการตกงานมากกว่า เพราะในช่วง 5 ปีแรกหลังจากจบการศึกษาเป็นช่วงของการแสวงหางาน เปลี่ยนงานบ่อย ค่าตอบแทน ประกอบกับนายจ้าง สถานประกอบการก็ต้องการแรงงานที่มีประสบการณ์มากกว่าคนจบใหม่
“เมื่อโลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกระจายรวดเร็ว ทักษะที่พร้อมปรับตัวเข้าสู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะให้กับเด็กและเยาวชนนั้นคืออะไร” ในความเห็นของดร.วีระชาติ การศึกษาภาคบังคับ การอาชีวศึกษา และอุดมศึกษาไม่ใช่คำตอบ จำเป็นต้องให้การศึกษาที่พัฒนาทักษะตั้งแต่เกิด การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นแบบกลับหัวกลับหาง โดยต้องทุ่มงบประมาณให้กับเด็กเล็กก่อน และเมื่อมาพิจารณาที่หลักสูตรการเรียนการสอนขณะนี้ ความรู้พื้นฐานนั้นยังคงสำคัญแต่อยากให้ลดเนื้อหาวิชาการลง เพราะข้อมูลทุกอย่างอยู่ในโลกออนไลน์หมดแล้ว กระทรวงศึกษาธิการจะต้องจัดหลักสูตรการศึกษาที่มีหลายทางเลือก เพราะเด็กแต่ละคนค้นพบตนเองในเวลาที่ไม่เท่ากัน เราจะสร้างหลักสูตรอย่างไร ให้มีทางเลือกที่เลือกได้ทั้งเด็กเก่ง เด็กธรรมดา เป็นเส้นทางการเรียนที่เหมาะสมกับเด็กทุกกลุ่ม และสิ่งสำคัญที่อยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาไปหาคำตอบให้ได้ว่าสิ่งที่เด็กและเยาวชนร่ำเรียนกันอยู่ขณะนี้ มีประโยชน์ มีความสำคัญกับชีวิตสร้างแรงจูงใจให้เด็กได้หรือไม่” ดร. วีระชาติกล่าว
นางพัชภัสสร เสนทับพระ ครูโรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา แสดงความเห็นว่า ค่านิยมของผู้ปกครองยังไม่เปลี่ยน ยังคงต้องการให้เด็กเข้ามหาวิทยาลัยทำให้เด็กถูกปิดกั้น เพราะต้องเดินตามความต้องการของผู้ปกครอง และหลักสูตรการศึกษาในปัจจุบันจัดเป็นแบบปิ่นโตบางชั้นไม่เคยใช้เลย ทางโรงเรียนสุรนารีฯ จึงปรับหลักสูตรให้เหมือนมหาวิทยาลัยปิด ปรับบางรายวิชาให้เหมาะสมกับเด็ก 50-60 เปอร์เซนต์ ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อีก 40 เปอร์เซนต์ ที่เหลือจบ ม.3 หรือ ม.6 หลักสูตรของโรงเรียนจึงเป็นแบบผสมผสานระหว่างสายสามัญและสายอาชีพ โดยทำงานร่วมกับสถาบันอาชีวะของจังหวัด เมื่อเด็กจบม.6 จะได้วุฒิการศึกษา ปวช.ด้วย แต่มีข้อแม้ว่า เด็กจะต้องลงไปฝึกภาคปฏิบัติ ดังนั้นเด็กจึงจะมีหลายทางเลือก คือไปศึกษาต่อปวส. เข้ามหาวิทยาลัย หรือออกไปทำงานก็ได้ จึงอยากเสนออยากให้กระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยเปิดกว้างมากขึ้น โดยสร้างรูปแบบการเรียนที่หลากหลาย ให้เด็กได้มีเส้นทางที่เลือกได้มากขึ้น
ทางด้าน ดร.ไพเราะ สุวภาพ จากวิทยาลัยเทคนิคลำพูน กล่าวว่า ผู้ประกอบการต้องการทักษะที่สูงกว่าทักษะที่เราฝึกให้เด็ก ต้องการให้เด็กทำงานได้อย่างคนมีประสบการณ์ แต่การจัดการเรียนการสอนของสถาบันอาชีวะต้องสอนตามหลักสูตรของกระทรวง ดังนั้น เมื่อเด็กเพิ่งจบการศึกษาไป จึงไม่สามารถทำงานได้ตามที่สถานประกอบการต้องการ ขณะนี้สถาบันอาชีวะยังคงถูกมองในด้านลบ ผู้ปกครองยังคงมีค่านิยมส่งลูกเรียนสายสามัญเพื่อเข้าอุดมศึกษา โรงเรียนมัธยมบางแห่ง มีการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีพด้วย เด็กจึงไม่เลือกมาเรียนอาชีวะ จึงอยากจับมือกันเพื่อร่างหลักสูตรใหม่ ดร.ไพเราะตั้งคำถามว่า สิ่งที่การศึกษาสายสามัญ สายอาชีวะคาดหวังคืออะไร ขอบเขตอยู่ตรงไหน พร้อมชวนเชิญสถานประกอบการมาร่วมมือกับสถานศึกษาที่สำคัญไม่อยากให้แยกเด็กเก่ง ไม่เก่งออกจากกัน แต่ควรจัดให้เด็กเรียนแล้วช่วยเหลือซึ่งกันมากกว่า
ในการสัมนาครั้งนี้ สสค. ได้เชิญเยาวชนมาร่วมสะท้อนความคิดเห็นในฐานะผู้เรียนด้วย คนแรกคือ นายศรันย์ ลิ่วเกษมศานต์ ซึ่งแสดงความเห็นว่า อยากให้ตัดเนื้อหาสาระบางวิชาลงและให้เด็กทำงานเป็นกลุ่ม ฝึกการคิดวิเคราะห์ วางแผน เพราะจากประสบการณ์เมื่อเปรียบเทียบการจัดการศึกษาของต่างประเทศและของประเทศไทยในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เห็นชัดมากว่าวุฒิภาวะของเพื่อน บรรยากาศ การแลกเปลี่ยนในชั้นเรียน นั้นแตกต่างกัน อย่างกรณีของสหรัฐอเมริกามีการทดสอบเด็กก่อนเข้าชั้นเรียน เด็กเก่ง ไม่เก่งก็จะได้เรียนเหมือนกัน และมีทางเลือกให้ด้วย ไม่ทำให้เด็กเบื่อ
ส่วน นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เยาวชนเครือข่ายยุวทัศน์ กล่าวว่า ปัจจุบันหลักสูตรมากเกินไป เรียนแต่วิชาการ แต่ปฏิบัติไม่ได้ การที่เด็กสวนหนึ่งหลุดออกจากระบบการศึกษา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลักสูตรการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่อยากเป็น หรืออาชีพที่ต้องทำ เช่น วิชาฟิสิกส์ เป็นวิชาที่ยากมากแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลยเมื่อไปประกอบอาชีพ นอกจากนั้นนายพชรพรรษ์ยังกล่าวด้วยว่า อยากให้เลิกการแบ่งชั้นเรียนเป็นห้องคิง ห้องบ๊วย เพราะความเก่งอาจจะไม่ใช้แค่วิชาการอย่างเดียว เด็กอาจจะเก่งด้านอื่นและสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกัน
ทางออกสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับโลกของงานหรือโลกของความเป็นจริง จึงต้องเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ โดยมุ่งพัฒนาแรงงานที่ตอบโจทย์กับงานที่เป็นความต้องการของประเทศ สูตรสำเร็จเราคงไม่มีให้ แต่ความสำเร็จนั้นจะอยู่ที่การลงมือทำอย่างเอาจริงเอาจังและทันที
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ