เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 6 กรกฎาคม 2556 นายนิมิต สิทธิไตรย์ ประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี และ กก.ตร. (คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ) สภ.เมืองอุบลราชธานี เปิดเผยว่า มีคนไปพบสาวลาวชื่อค่ำเดินทางโดยรถทัวร์จากกรุงเทพมหานคร จะกลับบ้านที่ประเทศสปป.ลาว 

เมื่อเดินทางมาถึงแยกดงอู่ผึ้ง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี มีตำรวจในเครื่องแบบสองนายขึ้นมาตรวจรถ เมื่อทราบว่าไม่มีบัตร เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จึงเชิญลงมาจากรถ สอบถามว่ามีเงินไหม ค่ำ สาวลาว ตอบว่าไม่มี มีเพียง 400 บาท ตำรวจก็ขู่ว่า “อย่ามาโกหกนะ ถ้าพบจะเอาหมดเลยนะ” ค่ำพยายามปฏิเสธว่าไม่มี ไม่มี ตำรวจก็ค้นตามตัวอย่างน่าเกลียดจับหน้าอกของสาวลาวคนดังกล่าวเพื่อค้นตัว เมื่อไม่พบเงิน ก็ไปดูที่กระเป๋า ดึงจนกระเป๋าขาดไม่พบเงิน ก็ค้นข้าวของ ถุงขนมต่าง ๆ

ขณะเดียวกันมีรถผ่านมาก็บอกว่า ถ้าอยากกลับบ้านก็เอาเงินมา 1,000 บาท จะส่งขึ้นรถเลย ทางสาวลาวก็เสียดายเงินจากน้ำพักน้ำแรงทำงานมา ก็ปฏิเสธไปอีกว่าไม่มี ตำรวจค้นต่อไปเจอในกางเกงสีดำ 2,000 บาท ก็หยิบใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองทันที แล้วพาขึ้นรถเก๋งสีบรอนซ์มาปล่อยทิ้งไว้ที่หลัง สถานีบขส. ระหว่างทางค่ำก็อ้อนวอนขอเงินคืนให้เป็นค่ารถกลับบ้าน 1,500 บาท ตำรวจคืนให้แค่ 1,000 บาท สาวลาวคนดังกล่าว มานั่งที่บขส.ด้วยความสับสนในพฤติกรรมของตำรวจไทย

นายนิมิตกล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว มีคนแจ้งมายังตน ตนจึงแนะนำให้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปรากฎว่าเมื่อแจ้งความแล้ว เรื่องทั้งหมดก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนจึงจึงต้องมาเล่าให้สื่อมวลชนฟังด้วยตนเอง ตลอดระยะเวลาที่เล่าน.ส.ค่ำ สาวลาว มีสีหน้าเศร้าเนื้อตัวสั่นพูดซ้ำ ๆ ว่า ทำไม ทำไม เห็นเราไม่คนหรือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายนิมิตจึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจคนเข้าเมืองพิบูลย์มังสาหาร เพื่อส่งกลับบ้านเกิด ก่อนขึ้นรถน.ส.ค่ำหันมากล่าวกับนายนิมิตว่า “ขอบใจ พี่ช่วยอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนอื่น ๆ ด้วยนะ ไม่ได้พี่ หนูไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเงินไม่พอจะกลับถึงบ้าน”

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่จ.อุบลราชธานีเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่โดยเฉพาะจุดที่เป็นด่านเข้าออกฝั่งไทยกับลาว กัมพูชา พม่า และตามเส้นทางที่เป็นจุดตรวจสำคัญ คนต่างด้าวเหล่านี้มักถูกรีดไถเป็นประจำ ด้วยข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน แต่กลับใช้ช่องว่างของการกระทำความผิดรีดไถคนเหล่านี้