สถานประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับคนพิการ จึงไม่มีความมั่นใจในการรับคนพิการเข้าทำงาน ประกอบกับคนพิการไม่มีความพร้อมในการทำงานในระบบสถานประกอบการทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถจัดหาคนพิการเข้าปฏิบัติงานในสถานประกอบการได้ครบตามที่กฎหมายกำหนด เป็นประเด็นพูดคุยในวงเสวนาเรื่อง “การเตรียมความพร้อมเพื่อรับคนพิการเข้าทำงานในสถานประกอบการ” ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างออกรสระหว่างผู้ประกอบการ ภาครัฐและ สถานศึกษาซึ่งจะต้องพัฒนาฝีมือของผู้พิการให้ตรงตามความต้องการของภาคเอกชน
ขณะที่ฝ่ายกฎหมายก็ขีดเส้นตายมาก่อนหน้านี้ ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการพ.ศ. 2550 ว่า สถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ขึ้นไป ให้รับคนพิการที่สามารถทำงานได้เข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 เช่น หากบริษัทมีลูกจ้างไม่พิการทั้งหมด 100 -150 คน ต้องรับลูกจ้างที่เป็นคนพิการ 1 คน แต่หากมี 151-250 คน ต้องรับลูกจ้างที่เป็นคนพิการ 2 คน นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ได้รับคนพิการเข้าทำงานตามกฎหมายมีทางเลือก ให้ 2 ทางคือ ต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นรายปีโดยคำนวณ จากอัตราต่ำสุดของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คูณด้วย 365 และคูณด้วยจำนวนคนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงานทั้งหมดในประเทศซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการอยู่ทั้งสิ้น 1.9 ล้านคน หรือทางเลือกที่ 2 ให้สถานประกอบการแจ้งความจำนงต่อปลัดกระทรวงแรงงาน หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อจัดสัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทนได้ ทั้งหมดนี้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนพิการมีสิทธิโอกาสในการเข้าทำงานสร้างหลักประกันความมั่นคงในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ขจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบ
แม้กฎหมายจะบังคับ แต่ที่ผ่านมาก็ยังสถานประกอบการส่วนใหญ่ ก็ไม่สามารถดำเนินการตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายได้ โดยส่วนใหญ่เลือกที่จะจ่ายเงินเข้ากองทุน แทนที่จะรับคนพิการ ทำให้ยังมีคนพิการอีกมากที่ยังไม่ได้รับโอกาสให้มีงานทำ การให้ความรู้ที่ถูกต้องกับผู้ประกอบการจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะการที่สถานประกอบให้โอกาสผู้พิการได้มีงานทำไม่เพียง จะเป็นการให้สิทธิและโอกาสแก่ผู้พิการเท่านั้น กฎหมายยังมอบผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับสถานประกอบการด้วย
นายสุรพล บริสุทธิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) เปิดเผยว่า ส่วนใหญ่คนยังเข้าใจว่า กฎหมายคนพิการเป็นการช่วยเหลือ เพราะสงสาร มากกว่าจะเข้าใจว่าเป็นสิทธิของคนพิการ ดังนั้นการที่จะเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์นั้น คนในสังคมจะต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้พิการปัจจุบันเขามีความรู้ความสามารถในบางประการเท่าเทียมหรือมากกว่าคนปกติด้วยซ้ำ หากเพียงแต่เขามีร่างกายไม่ปกติครบ การตีความคำว่าพิการ เปลี่ยนไปจากผู้ที่ต้องได้รับการฟื้นฟูช่วยเหลือเป็นความหลากหลายอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ไปแล้ว
ทั้งนี้ในส่วนของพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า หากสถานประกอบการทั้งภาครัฐหรือเอกชนไม่ให้โอกาสและสิทธิกับผู้พิการตามกฎหมายกำหนด มาตรา 33 กำหนดไว้แล้ว จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 24 (5) หากไม่ได้ส่งหรือส่งล่าช้าไม่ครบถ้วนให้เสียดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ของเงินจำนวนที่ยังไม่ได้ส่งเข้ากองทุน แต่หากสถานประกอบซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน ก็ได้รับยกเว้นภาษีร้อยละจำนวนค่าจ้าง ที่จ่ายให้แก่คนพิการ และมาตรา 38 ยังระบุด้วยว่า หากนายจ้างหรือสถานประกอบการที่จ้างคนพิการเข้าทำงานมากกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่า 180 วัน ในปีภาษีใด ก็มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้นอีกด้วย
ในมาตรา 38 นี้เอง เป็นแรงจูงใจให้สถานประกอบการหลายแห่ง เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการให้สิทธิคนพิการได้เข้ามาทำงานตามความสามารถที่เหมาะสมมากขึ้น แต่ก็กลับกลายเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย เนื่องจากบางบริษัทอาจจะยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความพิการ ประกอบกับไม่รู้จะเริ่มต้นให้ผู้พิการเข้ามาทำงานในตำแหน่งใด ที่สำคัญผู้พิการเองก็ยังอาจจะไม่มีความรู้ความสามารถ ที่ตรงกับความต้องการกับสถานประกอบการบางประเภท ทำให้หน่วยงานภาคการศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เข้ามาร่วมสนับสนุนนโยบายภาครัฐ โดยจัดทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้พิการสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยหวังว่าจะช่วยให้ผู้พิการมีงานทำไปพร้อม ๆ กับการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมได้แรงงานที่มีศักยภาพเหมาะสม สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทัดเทียมกับคนปกติ
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นอีกหนึ่งบทบาทของการทำงานเพื่อรับใช้สังคมที่ มจธ.ทำอยู่แล้วในหลาย ๆ รูปแบบ โดยการดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้พิการสู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ มจธ.จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจในพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และเพื่อให้คนพิการสามารถพัฒนาศักยภาพในด้านการประกอบอาชีพ ที่ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ทั้งนี้มจธ.ได้เตรียมแผนการฝึกอบรมสำหรับผู้พิการไว้ 11 หลักสูตร ด้วยกัน นอกจากนี้ยังเตรียมการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการ ต่อคนพิการ รวมถึงการฝึกอบรมด้านวิชาการ ให้อาจารย์โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ และเครือข่าย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับนักศึกษาในโรงเรียนอีกด้วย
ด้านตัวแทนภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ ในการเปิดโอกาสให้ผู้พิการเข้ามาทำงานในองค์กรมายาวนาน อย่าง บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือแม้แต่บริษัทสื่อสารอย่าง แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ระบุว่า การรับผู้พิการเข้ามาทำงานในองค์กร ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพียงแต่ในระยะเริ่มแรกจะต้องทำความเข้าใจกับคนในองค์กร ให้เข้าใจร่วมกันอย่างแท้จริง ถึงนโยบายของบริษัท รวมถึงการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อความพิการ ซึ่งหากมีสิ่งเหล่านี้แล้วผู้พิการก็สามารถทำงานได้เต็มความสามารถเช่นเดียวกับคนปกติ
น.ส.วาวเดือน ล่ำซำ จากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงาน call center ที่มีความพิการทางสายตาทั้งหมด 45 คน จากพนักงานทั้งหมด 2,458 คน ซึ่งในอนาคต เอไอเอสมีเป้าหมายในการพัฒนาพนักงานซึ่งเป็นผู้พิการเหล่านี้อย่างเท่าเทียมคนปกติ โดยไม่ปิดกั้นการเรียนรู้และการเลื่อนตำแหน่ง เพื่อให้ผู้พิการมีสิทธิในการมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานทัดเทียมกับคนปกติ โดยไม่พิจารณาที่สภาพร่างกาย แต่จะพิจารณาความรู้ความสามารถ จากคนที่มีใจรักในหน้าที่การงานมากกว่า
ขณะที่นายมงคล เชื้อทอง จากบริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สถานประกอบการที่ยังไม่มีผู้พิการและต้องการรับผู้พิการเข้าทำงาน จะต้องเริ่มจากการสำรวจสถานประกอบการของต้นเองก่อนว่า หากมีผู้พิการเข้ามาทำงานแล้ว จะต้องมีการปรับปรุงสถานที่อย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับความพิการที่ต้องการรับเข้ามาทำงาน ไม่ควรคิดว่าเป็นค่าใช้จ่ายศูนย์เปล่า เพราะเมื่อคำนวณค่าลดหย่อนภาษีที่บริษัทจะได้รับคืนจากการสร้างอาชีพให้กับผู้พิการถือว่าคุ้มค่ามากกว่า ที่สำคัญเมื่อมีผู้พิการเข้ามาทำงานแล้ว จะต้องให้โอกาสกับคนกลุ่มนี้ได้เรียนรู้งาน ต้องสอนงานไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ก็ไล่ออก อย่างนี้ไม่เป็นการช่วยเหลืออย่างจริงใจ ฝ่ายบุคคลที่ส่งผู้พิการไปทำงาน แต่ถูกหัวหน้างานไล่ออก ถ้าไม่ช่วยเหลือก็จบ ดังนั้นจะต้องให้ความสำคัญในการสอนงานเรียนรู้งานแก่คนกลุ่มนี้
ตัวแทนจากบริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวย์ กล่าวว่า หลังจากที่มีกฎหมายเริ่มออกมาบังคับให้สถานประกอบการที่เข้าเกณฑ์รับผู้พิการเข้าทำงาน ความยากอยู่ที่การสรรหาผู้พิการที่มีความรู้ความสามารถตรงกับความต้องการของภาคเอกชน มีความยากมากขึ้น หรือแทบจะไม่มี ดังนั้นด้านวิชาการคือสิ่งสำคัญที่จะต้องอาศัยสถาบันการศึกษาที่จะเป็นศูนย์กลางในการฝึกสอนผู้พิการให้ตรงกับความต้องการของแต่ละสถานประกอบ เป็นแหล่งเสริมสร้างศักยภาพคนพิการอย่างมจธ. ที่กำลังจะดำเนินการก็จะทำให้ผู้ประกอบการลดปัญหาการสรรหาผู้พิการลงได้
ขณะที่นายกุฎาธาร นาควิโรจน์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (มหาชน) เปิดเผยว่า ใช้หลัก เข้าใจ เข้าถึง และเข้าสู่สังคม อีกทั้งมีการเรียนรู้ผู้พิการให้สามารถทำงานได้ตามความถนัด ความสนใจ ภายใต้ข้อจำกัด ของผู้พิการอีกทั้งเรียนรู้ถึงสิ่งที่ผู้พิการต้องการได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม ที่ผ่านมามีบริษัทหลายแห่งพยายามมาติดต่อขอให้พนักงานซึ่งเป็นผู้พิการของบิ๊กซี ไปร่วมงานด้วย ในลักษณะซื้อตัวคือ เสนอค่าจ้างที่สูงกว่า แต่พนักงานส่วนใหญ่ของบิ๊กซีไม่ไป เนื่องจากบริษัทมองว่าการให้โอกาสเข้าทำงานไม่เพียงพอ บิ๊กซีจึงสร้างสังคมที่ดีที่ให้การยอมรับคนพิการเหล่านี้ด้วย เช่น การทำข้อตกตงไว้ตั้งแต่แรกกับพนักงานทุกคนว่า จะต้องเรียกชื่อจริงหรือชื่อเล่นของเพื่อนเท่านั้น จะไม่มีการเอาความพิการมาเรียกแทนชื่อ รวมทั้งสร้างสังคมของเพื่อนร่วมงานที่ดีให้เกิดความรักความเข้าใจ ระหว่างคนปกติกับผู้พิการ สิ่งเหล่านี้ผู้บริหารจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน
นอกจากนี้ยังพบว่า การที่มีผู้พิการเข้ามาทำงานร่วมกับคนปกติ ยังทำให้คนปกติบางคนที่ท้อแท้ทางจิตใจ เกิดแรงบันดาลใจในการทำงานมากขึ้น อีกด้วยโดยบิ๊กซีตั้งเป้าหมายในอนาคตว่า ภายในปี 2557 บริษัทจะมีผู้พิการเข้ามาทำงานได้ได้ 50 : 1 หรือ 2 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด
นอกจากนี้สิ่งที่หลาย ๆ บริษัทส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันก็คือ ผู้พิการส่วนใหญ่ทำงานได้เท่าเทียมปกติในงานเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้นคือการทำงานได้มากกว่าเพราะความมุ่งมั่นตั้งใจที่ผู้พิการมีต่อหน้าที่การงาน ทำให้ผู้บริหารเริ่มเห็นศักยภาพและความคุ้มค่าของการรับผู้พิการเข้าทำงานมากขึ้น สำหรับผู้พิการที่เข้าเกณฑ์และต้องการรับผู้พิการเข้าร่วมงาน หรือมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) กระทรวงการพัมนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ