เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ตามที่น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม มีคำสั่งแต่งตั้งคณะผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงและคณะผู้รับฟังข้อเท็จจริง กรณีการสอบสวนข้อเท็จจริงและการเลิกจ้างผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมนั้น
น.พ.วชิระ บถพิบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมพวง จ.นครราชสีมา อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทกล่าวว่า คำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวเนื้อหาผิดไปจากข้อตกลงที่เครือข่ายเพื่อความเป็น ธรรมในระบบสุขภาพได้มีไว้กับนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันให้เป็นการตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง” แต่กลับมีคำสั่งจาก น.พ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข สั่งให้ น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ออกคำสั่งให้เป็นคณะผู้รับฟังข้อเท็จจริง จากคณะผู้ชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่กรณี
“การที่นายประดิษฐ์มีคำสั่งให้มีหน้าที่เพียงเป็นผู้รับฟังข้อเท็จจริง ไม่สามารถตรวจสอบหลักฐานเอกสารหรือสืบค้นข้อมูลภายในขององค์การเภสัชกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับการปลดน.พ.วิทิตได้นั้น เท่ากับว่านายประดิษฐบิดเบือนข้อตกลงในการเจรจา ชมรมแพทย์ชนบทมีไฟล์เสียงการประชุมที่ทั้งนายประดิษฐและคุณสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สรุปตรงกันในการเจรจาวันที่ 4 มิถุนายนว่า จะตั้งกรรมการที่มีอำนาจในการขอดูหลักฐาน เอกสาร สอบถามบุคคล หรือตรวจสอบข้อมูลว่าจริงหรือเท็จประการใด ไม่ใช่เป็นเพียงกรรมการรับฟังการชี้แจงเท่านั้น”
น.พ.วชิระกล่าวต่อว่า “ชมรมแพทย์ชนบทพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีกับนายประดิษฐมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้คงตอบได้ชัดเจนแล้วว่า นายประดิษฐไม่มีความจริงใจ ไม่ใช่ลูกผู้ชายที่มีสัจจะเป็นคุณธรรม ที่ยอมเจรจาหรือยอมทำท่าจะทำตามมติการเจรจาก็เพียงเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีในการปรับ ครม. ไม่ได้จริงใจในการแก้ปัญหา หากไม่มีสัจจะก็ไม่ควรมาปกครองบ้านเมือง”
ด้าน รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จะไม่เข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว เพราะในคำสั่งให้เป็นแค่คณะผู้รับฟังเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถทำให้ความจริงกระจ่างได้ ดังนั้นเมื่อเริ่มกระบวนการก็ไม่โปร่งใส จึงรับไม่ได้ในคำสั่งลักษณะบิดเบือนเช่นนี้
น.พ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คำสั่งนี้ผิดไปจากข้อตกลงที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำไว้กับเครือข่ายฯ ซึ่งเอกสารข้อสรุปที่ทางทีมงานของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำไว้ และเป็นเอกสารที่เข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ชัดเจนว่า ให้เข้าไปเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง “คำสั่งที่ออกมาให้ไปรับฟัง ไม่ใช่เข้าไปตรวจสอบ เพราะนั้นไม่ร่วมสังฆกรรมกับคำสั่งนี้โดยสิ้นเชิง”
ขณะที่ นายระวัย ภู่ระกา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรม (สร.อภ.) เห็นว่า การไปฟังคำชี้แจงเช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์ เพียงเข้าไปดูข้อมูลแค่นั้น ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ ท้ายสุดก็จบที่ศาล จึงไม่ขอเข้าร่วม
“การเจรจาในคืนวันที่ 4 มิถุนายน รัฐมนตรียืนยันข้อมูลและการตัดสินใจของตัวเอง ทางกลุ่มคนรักหลักประกัน จึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความบริสุทธ์ใจ เลขาธิการนายกฯ ยังกล่าวว่า ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา ให้ไปพิสูจน์กัน หากผิดต้องว่าไปตามผิดนะ ทุกคนรับได้หรือไม่ ทุกฝ่ายในที่นั้นก็รับคำ แต่ประวิงเวลามาตลอด พอจะให้ตรวจสอบจริง ๆ ก็ไม่ทำ ทั้งที่มาจากคำท้า วิธีการอย่างนี้ไม่ได้ประโยชน์”
ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) กล่าวว่า ไม่ยอมรับคำสั่งแบบนี้ สิ่งที่ควรจะเป็นคือ ต้องมีการเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งกระบวนการว่าถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่ ไม่ใช่ไปฟังและดูแค่เอกสารผลการสอบข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ น.พ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 11 ด้านการควบคุมป้องกันโรค, ศ.ดร.ภญ.กาญจน์พิมล ฤทธิเดช และนายชำนาญ พิเชษฐ์พันธ์ นักกฎหมาย ต่างได้แสดงเจตจำนงค์ชัดเจนไม่ร่วมเป็นคณะผู้รับฟังข้อเท็จจริงอย่างเด็ดขาด
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ