ศรีสุวรรณยื่นป.ป.ช.เอาผิดนายกฯ ขีดเส้น49วันก่อนร้องศาลฎีกาช่วย เกาหลีใต้ขึ้นค่าน้ำอุ้ม'เค-วอเตอร์'

ทีมข่าวศูนย์ข่าว TCIJ 28 มิ.ย. 2556 | อ่านแล้ว 461 ครั้ง

 

 

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 28 มิถุนายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จ. นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และคณะ ได้ขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 275 ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และ นายธงทอง จันทรางศุ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ว่า เข้าข่ายละเลยการปฏิบัติเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ภายหลังที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งให้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะให้บริษัทเอกชนดำเนินการออกแบบ และก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท โดยมีนายณรงค์ รัฐอมฤต เลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับหนังสือ

 

 

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ขอให้ทางป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวน สรุปข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไม่ให้กรณีดังกล่าวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อนักการเมือง และข้าราชการระดับสูงในอนาคต ทั้งนี้ต้องการให้ป.ป.ช.ใช้เวลาดำเนินการไต่สวนไม่เกิน 49 วัน โดยเทียบเคียงกับระยะเวลาที่ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง แต่หากพิจารณาล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ ก็จะยื่นร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระ ดำเนินการเรื่องเหล่านี้แทนป.ป.ช.ต่อไป อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าคดีนี้น่าจะจบที่ป.ป.ช.โดยที่ไม่ต้องไปรบกวนที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

 

ด้านนายณรงค์กล่าวว่า ป.ป.ช จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ โดยจะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมในวันอังคารที่ 2 กรกฏาคมนี้ พร้อมจะนำคำสั่งของศาลปกครองมาประกอบการพิจารณาด้วย ส่วนที่นายศรีสุวรรณ กำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานของป.ป.ช. ไว้ที่ 49 วัน เช่นเดียวกับศาลปกครองนั้น ตนยังไม่สามารถตอบได้ เพราะกระบวนการการทำงานแตกต่างกัน แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด  ส่วนใครผิดใครถูก นั้น ป.ป.ช.ยืนยันว่าดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

 

 

ศาลปกครองสั่งชะลอโครงการน้ำ3.5แสนล้าน

 

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตุลาการศาลปกครองกลาง ที่มี นายตรีทศ นิครธางกูร ตุลาการเจ้าของสำนวน ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และกลุ่มประชาชน รวม 45 คน ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ หรือ กยน.คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ หรือ กบอช.และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ.เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนแผนการบริหารจัดการน้ำ ที่ใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท และสั่งให้ร่วมกันจัดให้มีการทำประชามติรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามรัฐธรรมนูญ

 

โดยมีคำพิพากษาให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 (2) มาตรา 67 (2) โดยให้นำแผนบริหารจัดการน้ำไปจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนที่จะดำเนินการว่าจ้างออกแบบ แต่ละแผนงาน ในแต่ละโมดูล เนื่องจากมีโครงการบริหารจัดการน้ำ ที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง อาทิ โครงการแก้มลิง ที่คาบเกี่ยวกับการวางผังเมือง และการใช้ประโยชน์ที่ดินของประชาชนจำนวนมาก โดยเห็นว่าหากให้บริษัทเอกชนผู้รับจ้าง ไปดำเนินการจัดรับฟังความคิดเห็นเอง อาจได้ผลที่เบี่ยงเบนและไม่ตรงกับความเป็นจริงได้ เนื่องจากเอกชนอาจจะคำนึงถึงเรื่องของธุรกิจกำไร ทำให้จัดสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น อันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขัดต่อกฎหมายได้

 

 

 

สำหรับสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้แก่ มาตรา 57  บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใด ที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว โดยการวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์การวางผังเมือง การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ

 

ส่วนมาตรา 67 ระบุว่า สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่อง ในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ย่อมได้รับความคุ้มครองตามความเหมาะสม การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษา ที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว สิทธิของชุมชนที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัตินี้ ย่อมได้รับความคุ้มครอง

 

เท่ากับว่าโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท จะต้องชะลอออกไปโดยไม่มีกำหนด เพราะหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นว่า ในการจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในการดำเนินการโครงการบนพื้นที่ขนาดใหญ่นั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ปี

 

 

‘ธงทอง’น้อมรับคำพิพากษาศาล แต่จะยังเดินหน้าต่อ

 

 

ภายหลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาคัดเลือกโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลปกครอง โดยในส่วนมาตรา 57 วรรคสอง พูดถึงเรื่องของการทำแผนการ หรือโครงการอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นแผนงานโครงการขนาดใหญ่นั้น จะต้องรับฟังความเห็นประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นภารกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการตามหน้าที่ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 57 ต่อไป โดยที่ได้มีการทำงานร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในการทำงานกับภาคส่วนต่าง ๆ อยู่แล้ว และจะเดินหน้าต่อไป

 

ในส่วนบทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสอง พูดถึงเรื่องการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตรงที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง ต้องดูในรายละเอียด เพื่อประชุมกับคณะทำงานด้านกฎหมายเสียก่อน ก่อนที่จะประกาศต่อสาธารณชนได้รับทราบต่อไป ในส่วนที่จะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้น ก็คงจะต้องกลับไปดูรายละเอียดทั้งหมดของคำพิพากษาก่อน ส่วนประเด็นเรื่องเรื่องสัญญาเงินกู้ ต้องถามกระทรวงการคลัง เพราะตนทำในเรื่องของสัญญากับบริษัทที่ได้รับคัดเลือก ซึ่งยังไม่ได้ลงนาม กำลังทำรายละเอียดของสัญญา ต้องใช้เวลา 3 เดือน อย่างไรก็ตามไม่คิดว่าโครงการนี้ถึงขั้นล้มไป เพียงแต่บางส่วนต้องทำให้สมบูรณ์ แต่บางส่วนก็สามารถเดินหน้าได้ เช่น เรื่องของคลังข้อมูลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็บสถิติทั้งระบบ ในการตรวจสอบติดตาม สิ่งนี้ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

‘สบอช.’ออกโรงป้องเค-วอเตอร์ โต้เอ็นจีโอเกาหลี

 

 

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการเลขาธิการ สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ตอบโต้กรณีนายยัม ซองฮอล ผู้อำนวยการสมาพันธุ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ ที่ออกมาระบุ ว่า บริษัท เค วอเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับคัดเลือกทำโครงการ A 3 แก้มลิง และ A 5 ฟลัดเวย์ รวมมูลค่า 1.63 แสนล้านบาท เป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินย่ำแย่ และมีหนี้สินกว่า 700 เปอร์เซนต์ รวมทั้งไม่มีประสบการบริหารงานพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยนายสุพจน์ได้ทำเอกสารมาชี้แจงคุณสมบัติของเค.วอเตอร์ใน 6 ประเด็น  ได้แก่

 

1.บริษัท เค วอเตอร์ฯ เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งรัฐบาลถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์

2.บริษัท เค วอเตอร์ฯ ได้เข้าร่วมการยื่นข้อเสนอ โดยมีคุณสมบัติครบถ้วน ดังนี้ ต้องเคยมีผลงานด้านการออกแบบหรือก่อสร้างระบบป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาอุทกภัยหรือภัยแล้ง ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2545-2555 ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ มูลค่าก่อสร้างไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท

 

3.ในการแข่งขันในขั้นเสนอกรอบแนวคิด บริษัท เค วอเตอร์ฯ ได้ยื่นผลงานที่ดำเนินการในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2545-2555 มีมูลค่าสูงถึง 682,840 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าในเงื่อนไขมาก

 

 

 

4.สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยได้รับรองคุณสมบัติของบริษัท เค วอเตอร์ฯ ตามTOR ของรัฐบาลไทยทุกประการ

 

5.ในการแข่งขันออกแบบและก่อสร้างบริษัท เค วอเตอร์ฯ ได้วางเงินค้ำประกันซองร้อยละ 5 ของงบประมาณการก่อสร้าง เป็นจำนวนเงิน 14,550 ล้านบาท เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน)

 

6.บริษัท เค วอเตอร์ ได้รับการจัดอันดับการประกอบการจากสถาบันจัดอันดับนานาชาติ 2 แห่ง ประกอบด้วยMoody’S ในระดับ A1 และ S&P ในระดับ A และมีสินทรัพย์ทั้งสิ้น  23,425 พันล้านวอน (650,000 ล้านบาท) มีรายได้ 6,325.8 พันล้านวอน (176,000 ล้านบาท)

 

 

เตรียมปรึกษาฝ่ายกฎหมายดำเนินการ

 

 

นายสุพจน์กล่าวยืนยันว่า บริษัทเค วอเตอร์หน่วยงานรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ ซึ่งรับบาลถือหุ้นอยู่ 100 เปอร์เซนต์ และรัฐบาลเกาหลีก็เป็นผู้ค้ำประกัน และสถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยก็รับรองสถานภาพของบริษัทเค วอเตอร์ด้วย ดังนั้นการออกมาระบุว่า บริษัทเค วอเตอร์มีสถานะทางการเงินย่ำแย่ของนายยัม จึงไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ในการพิจารณาบริษัทที่เข้ายื่นแบบโครงการ ทุกบริษัทจะต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดครบถ้วน มีผลงานย้อนหลัง 10 ปี มีมูลค่าก่อสร้างไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท  ในขณะที่บริษัท เค วอเตอร์ มีผลงานมูลค่าก่อสร้างสูงถึง 682,840 ล้านบาท จึงเป็นบริษัทที่เข้าเงื่อนไข นอกจากนี้บริษัทเค วอเตอร์ ได้รับการจัดอันดับการประกอบการจาก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ ในระดับ A 1 และ สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (S&P) ในระดับ A รวมทรัพย์สินในการประกอบธุรกิจทั้งสิ้น  23,425 พันล้านวอน หรือ 650,000 ล้านบาท มีรายได้ 6,325.8 พันล้านวอน หรือประมาณ 176,000 ล้านบาท ซึ่งยืนยันว่าข้อมูลที่เชื่อถือได้

 

นายสุพจน์กล่าวด้วยว่า แม้ว่าโครงการขนาดใหญ่จะมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่สิ่งสำคัญคือการรับฟังเสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ การพิจารณาของ กบอ.มีความละเอียดรอบคอบ ทุกขั้นตอน ส่วนกรณีที่นายยัมออกมาคัดค้านและเปิดเผยข้อมูลที่ไม่จริงเหล่านี้ในช่วงนี้นั้น จึงเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ และหาก สบอช.ไม่ชี้แจงก็อาจมองว่าเป็นการยอมรับข้อมูลของสมาพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ ยืนยันว่าทุกบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกสามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ สบอช. กำลังปรึกษากับทีมกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

 

ส่วนกรณีภาพถ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีร่วมกับผู้บริหารของบริษัท เค วอเตอร์ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ในการประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำนั้น นายสุพจน์ยังยืนยันว่า ทุกบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับงาน จะต้องผ่านขั้นตอนและระเบียบที่วางไว้ และการคัดเลือกจะพิจารณาจากกรอบแนวความคิดเป็นหลัก และยืนยันมั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน

 

 

สื่อเกาหลีใต้ระบุรัฐบาลต้องขึ้นค่าน้ำอุ้มเค-วอเตอร์

 

 

อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นสถานะของบริษัทเค วอเตอร์ นั้น มีรายงานข่าวว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 เว็บไซด์หนังสือพิมพ์ The Kyunghyang Shinmun ของประเทศเกาหลีใต้ นำเสนอข่าวรัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมประกาศขึ้นอัตราค่าน้ำ เพื่อนำรายได้เข้าไปช่วยบริษัทเค วอเตอร์ หลังจากต้องเป็นหนี้กว่า 8ล้านล้านวอน จากโครงการก่อสร้างเขื่อนใน 4 แม่น้ำ โดยระบุว่า เป็นความพยายามของรัฐบาลของนายลี เมียง บักที่พยายามจะเดินหน้าโครงการนี้โดยใช้วิธีการขึ้นราคาค่าน้ำดังกล่าว แม้ว่าจะมีการคัดค้านต่อต้านของประชาชนก็ตาม

 

รายงานข่าวดังกล่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายซู ซอง ควาน รัฐมนตรีกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งของเกาหลี ออกมายอมรับว่า รัฐบาลเกาหลีใต้มีข้อจำกัดในการจะลดภาระหนี้สินของเค-วอเตอร์ที่เกิดจากโครงการสร้างเขื่อนใน 4 แม่น้ำหลัก จึงจำเป็นที่จะต้องขึ้นอัตราค่าน้ำประปา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเกาหลี มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันระหว่างการขึ้นค่าน้ำ กับภาระหนี้สินที่เกิดจากโครงการสร้างเขื่อนใน 4 แม่น้ำหลักดังกล่าว อย่างไรก็ตามในการให้ข่าวกับสื่อมวลชนในครั้งนี้ นายซู ไม่ได้พูดอย่างเต็มปากเต็มคำนักว่า หนี้ที่เกิดจากโครงการ ส่งผลโดยตรงต่อการปรับอัตราค่าน้ำของชาวเกาหลี โดยระบุว่า การเตรียมการดังกล่าวจะต้องมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน

 

รายงานข่าวดังกล่าวยังระบุด้วยว่า  ในแต่ละปีรัฐบาลจะต้องจ่ายเงิน 3.8 แสนล้านวอน ในการบริหารจัดการน้ำภายในประเทศ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า เงินจำนวน 8 ล้านล้านวอน ที่ถูกใช้ไปในการลงทุนในการโครงการสร้างเขื่อนใน 4 แม่น้ำ เป็นสาเหตุให้สถานะทางการเงินของรัฐบาลเลวร้ายลง จนทำให้รัฐบาลเองรู้สึกว่าเป็นภาระในการที่จะสนับสนุนเค-วอเตอร์ ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2555 เค-วอเตอร์ได้ขึ้นราคาค่าน้ำที่จ่ายให้รัฐบาลท้องถิ่นแล้ว 4.9 เปอร์เซนต์ นับเป็นการขึ้นค่าน้ำครั้งแรกในรอบ 8 ปี

 

(http://english.khan.co.kr/khan_art_view.html?code=710100&artid=201306201739297)

อ่านข่าว K-Water ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่ http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2723 / http://www.tcijthai.com/tcijthai/view.php?ids=2720

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: