'นิธิ'ชี้สังคมไทยเปลี่ยนรวดเร็ว-ลึก นักข่าวต้องถอดรื้อ'มายาคติ' กล้ารับผิดชอบต่อความจริง

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ศูนย์ข่าว TCIJ ภาพ-กฤชกร เกตุทองมงคล ศูนย์ข่าว TCIJ 19 มิ.ย. 2556 | อ่านแล้ว 1024 ครั้ง

 

หลังจากศูนย์ข่าว TCIJ เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรมหลักสูตรโรงเรียนนักข่าว ซึ่งมีผู้สนใจสมัครเข้ามาเป็นจำนวนมาก สุดท้าย มีผู้สมัครผ่านการคัดเลือกมาจำนวนหนึ่งและมีการเปิดปฐมนิเทศไปเมื่อวันที่ 15  มิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการหลายท่าน และหนึ่งในนักวิชาการที่มากล่าวปฐมนิเทศและร่วมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้คือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ

 

หัวข้อที่ ศ.ดร.นิธิกล่าวถึงในการปฐมนิเทศคือ “ความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย” ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ลึกและกว้างใหญ่ กระทั่งคำอธิบาย ความรับรู้ และความเข้าใจเดิม ๆ ขอคนไทยก้าวตามไม่ทัน หลายคำอธิบายที่ปรากฎในวิชาเรียนก็ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่ดำรงอยู่

 

 

            “ผมจะชวนคุยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ว่า มันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง กว้างใหญ่ไพศาลมาก ลงลึกถึงระดับข้างล่าง ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นนำแบบสมัยโบราณ ที่มีคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดียวในกรุงเทพฯ รับความเปลี่ยนแปลงจากตะวันตกเข้ามา และไม่กระจายถึงใครเลย ไม่ใช่อีกแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เศรษฐกิจเปลี่ยนทำการกระจายทรัพยากรวุ่น

 

 

เริ่มต้นที่ความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ ศ.ดร.นิธิกล่าวว่า ปัจจุบัน แรงงานไทยร้อยละ 60 ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ อยู่ในภาคเกษตรกรรมร้อยละ 40 ซึ่งตัวเลขหลังถือเป็นตัวเลขที่สูงผิดปกติ เพราะในประเทศที่มีรายได้ในระดับเดียวกันกับประเทศไทย จำนวนเกษตรกรควรลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงจากเมื่อ 20 ปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 50 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ามากเกินไป

 

สัดส่วนเช่นนี้ก่อให้เกิดความยุ่งยากในการกระจายทรัพยากรพอสมควร ศ.ดร.นิธิ ยกตัวอย่างนโยบายจำนำข้าวว่า ตัวเลขร้อยละ 40 ยังถือเป็นจำนวนที่ใหญ่มาก นโยบายจำนำข้าวที่ต้องการกระจายทรัพยากรจำนวนหนึ่งไปสู่คนกลุ่มนี้ จึงถูกตั้งคำถามจากคนอีกร้อยละ 60 จนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง

 

 

            “นอกจากนั้นแล้ว ภาคเกษตรกรรมของเราเป็นเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ทั้งสิ้น ไม่มีใครปลูกเพื่อกินแล้ว ดังนั้นคำสั่งสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จะพอเพียงอย่างไร ในเมื่อต้องปลูกขาย ไม่ใช่ปลูกไว้กินเองทั้งหมด เรื่องนี้จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น คำสอน คำแนะนำ ความใฝ่ฝัน สังคมที่สงบสุขคือสังคมที่คนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ในชนบท เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันมันไม่มีแล้ว เพราะมันเป็นสังคมที่ทุกคนต้องเพาะปลูกเพื่อขายมากกว่ายังชีพ เวลาเราพูดถึงความเป็นไทย เรากำลังพูดถึงรุ่นทวดของทวดเลย สมัยไหนก็ไม่รู้ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้อยู่ในสภาพที่คนใช้ทรัพยากรร่วมกันอีกแล้ว ฉะนั้นจึงมีปัญหา มีความขัดแย้งเยอะมากในชนบท”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ประเทศไทยไม่จน แต่เหลื่อมล้ำสูง

 

 

ศ.ดร.นิธิกล่าวต่อว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศยากจน หากเทียบกับประเทศในอาเซียน ประเทศไทยถือว่าร่ำรวยเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ประเทศไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง แต่ปัญหาก็คือ ประเทศไทยจะหลุดจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลางอย่างไร การจะทำได้ ประเทศไทยต้องมีแรงงานที่มีคุณภาพ มีความรู้ และมีการศึกษามากกว่าที่เป็นอยู่ แต่การศึกษากลับเป็นปัญหาหลักของไทย อีกทั้งยังมีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบสิงคโปร์และมาเลเซีย

 

 

            “ประเทศไทยจึงไม่ใช่ประเทศยากจนและยังเป็นประเทศที่มีคนจนน้อยลงด้วย เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ประเทศไทยมีคนจนแบบที่สภาพัฒน์ฯ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เรียกว่า จนดักดาน ร้อยละ 20 ปัจจุบันเราเหลือคนจนแบบดักดานประมาณร้อยละ 7 ที่เหลือไม่ใช่คนจนอีกแล้ว แทบจะกล่าวได้ว่า ส่วนใหญ่ของเสื้อแดงที่มานั่งที่ราชประสงค์ไม่ใช่คนจนในความหมายที่สภาพัฒน์ฯ พูดถึงทั้งสิ้น”

 

 

ประเทศไทยจึงไม่ใช่ประเทศยากจนดังที่ได้ยินเสมอ แต่เนื่องจากการกระจายรายได้ที่แย่มาก มีความเหลื่อมล้ำสูง ปัญหาจึงไม่ใช่การที่มีคนจนดักดานอยู่จำนวนมาก เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบคนเหล่านี้กับคนร้อยละ 20 ที่อยู่ข้างบน มันห่างกันไกลเกินไป คนส่วนใหญ่จึงมีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่มากนัก นี่คือเหตุผลที่ทำให้ตลาดภายในของไทยไม่แข็งแกร่ง

 

ศ.ดร.นิธิ กล่าวต่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ยุคนั้น คนตกงานในกรุงเทพฯ กลับไปหาพ่อแม่ในชนบทได้ แต่ถ้าเกิดวิกฤตเช่นปี 2540 อีกครั้ง คนเหล่านี้จะไม่มีที่ให้กลับไป เพราะพ่อแม่ขายนาไปหมดแล้วขณะเดียวกัน ถ้าตลาดต่างประเทศเลิกซื้อสินค้าไทย ตลาดภายในจะมีกำลังซื้อเพียงพอหรือไม่ ดังนั้น ตลาดภายในจึงเป็นหมอนกันกระทบที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “หลายนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน มีผลต่อเรื่องเหล่านี้ คือต้องการสร้างตลาดภายในที่แข็งขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทำให้รายได้ของคนที่รับจ้างเขาทำงานสูงขึ้น 300 บาทที่บังคับให้จ่าย น้อยมากนะครับ ไม่พอที่จะพัฒนาชีวิตของเขาด้วยซ้ำไป และเกินร้อยละ 50 ของผู้ที่เป็นลูกจ้างได้ค่าจ้างเกิน 300 บาทอยู่แล้ว การรับจำนำข้าวคือการทำให้ร้อยละ 40 ที่ว่ามีรายได้มากขึ้น พอที่จะขยับจากท้องนาไปสู่ภาคอื่น ๆ เพราะคุณจะอยู่ในภาคเกษตรกรรมต่อไปก็ยิ่งจนลง แต่จะให้เขาออกมาอย่างไร ให้เขาออกมาแบบถูกถีบเหมือนสมัยก่อน มันไม่พอกิน หรือจะออกมาแบบที่มีอำนาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น การรับจำนำข้าวจึงเป็นการช่วยให้คนเหล่านี้หลุดออกมาจากท้องนา โดยมีอำนาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขาดทุนแน่นอน แต่ไม่มากนักและคุ้มที่จะดึงคนร้อยละ 40 ตรงนี้ออกมาจากท้องนา ซึ่งผลิตได้ไม่มากไปกว่านี้เท่าไรนัก”

 

 

ชนชั้นกลางผงาด เกิดมาตรฐานความคิดใหม่

 

 

จากความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ กล่าวได้ว่าทำให้ประเทศไทยปัจจุบันเป็นประเทศของชนชั้นกลาง ตั้งแต่ชนชั้นกลางระดับคอปกขาวไปจนถึงชนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งไม่ได้อยู่ในภาคเกษตรกรรมอีกแล้ว หมู่บ้านไทยทุกวันนี้จึงแตกต่างจากหมู่บ้านสมัยก่อนโดยสิ้นเชิง ผู้คนเกินครึ่งของหมู่บ้านมีอาชีพอยู่ภายนอกหมู่บ้าน สังคมไทยจึงไม่ได้อยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมหมู่บ้านเช่นในอดีต ที่ผู้คนต่างใช้ฐานทรัพยากรร่วมกันอีกต่อไป แต่หมู่บ้านไทยปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมือง มีความสัมพันธ์กับเมืองอย่างแยกไม่ออก คนไทยเกือบร้อยละ 70 มีชีวิตอยู่ในเมือง

 

ขณะเดียวกันการขยายตัวของสื่อสารมวลชนก็สูงมาก ผู้คนสามารถติดตามข้อมูล ข่าวสาร สาระ บันเทิงได้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ กระทั่งว่าความรู้ที่ผ่านการสื่อสารสมัยใหม่ แทบจะไม่มีความแตกต่างกันระหว่างคนต่างจังหวัดกับคนในเมือง

 

ทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดมาตรฐานใหม่ ๆ ในความคิดของคน มาตรฐานที่บอกว่า สิ่งใด ดี-ไม่ดี มีประโยชน์-ไม่มีประโยชน์ มีอำนาจ-ไม่มีอำนาจ เปลี่ยนไปหมด ทำให้ชนชั้นกลางไทยไม่ได้แตกต่างไปจากชนชั้นกลางทั้งโลก ศ.ดร.นิธิ อ้างถึงงานศึกษาชนชั้นกลาง 13 ประเทศทั่วโลก (ไม่รวมประเทศไทย) ว่า ชนชั้นกลางเกิดใหม่ทั้ง 13 ประเทศมีความใฝ่ฝัน 3 ประการด้วยกัน หนึ่ง-ใฝ่ฝันอยากจะมีการศึกษา หากตนเองมีไม่ได้ก็ต้องการส่งเสริมลูกของตน สอง-ต้องการมีสุขภาพดี เพราะการมีสุขภาพไม่ดี ยิ่งทำให้จนลง และสาม-ต้องการเข้าถึงแหล่งทุน เพราะจะทำให้เปลี่ยนสถานะได้ง่ายขึ้น

 

 

สังคมเปลี่ยน ลำดับขั้นในสังคมเปลี่ยน

 

 

            “เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม แบบนี้ ถามว่ามันเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในสมองของคน ผมว่ามันมีสิ่งสำคัญที่ต้องตั้งข้อสังเกตให้ดี ประการแรกสุดคือ ลำดับขั้นในสังคม (Social Hierarchy) ในทุกสังคมมีลำดับขั้นของสังคม ใครมีอำนาจมาก ใครมีอำนาจน้อย สังคมไทยก็เคยมีสิ่งนี้ในอดีต แต่ปัจจุบันลำดับขั้นของคนในสังคมเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่เคยถือว่าสูงในสมัยหนึ่ง ปัจจุบันก็ไม่มีใครถือว่าสูง สิ่งที่เคยรู้สึกว่าต่ำต้อย ปัจจุบันก็เริ่มรู้สึกว่ามีฐานะดีขึ้น มีเกียรติยศที่จะต้องให้ความเคารพมากขึ้นW

 

 

เมื่อลำดับขั้นในสังคมเปลี่ยน สิ่งที่เรียกว่าอาญาสิทธิ์หรืออำนาจที่ถูกต้องตามวัฒนธรรม ตามกฎหมาย หรือตามประเพณี กับสิทธิธรรมหรือความชอบธรรมในการมีอำนาจจึงเปลี่ยนตาม ตัวอย่างที่ ศ.ดร.นิธิ หยิบยกขึ้นมาคือ กรณีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำรัฐประหาร เมื่อตอนปี 2549 ที่ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นผู้มีอำนาจเหมือนในอดีตอีกต่อไป ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับสถานะของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายหลังการปฏิวัติ ที่มีสถานะไม่ผิดกับเทวดา หรือการด่าทอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หากเป็นเมื่อก่อนจะนึกไม่ถึงว่านายกรัฐมนตรีไทยจะถูกด่าได้ถึงขนาดนี้ แสดงว่าตำแหน่งความเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นอาญาสิทธิ์ ไม่ได้เป็นลำดับขั้นที่สูงมากอย่างที่เป็นมา และการเลือกตั้งก็ไม่ได้เป็นความชอบธรรมที่ทุกคนยอมรับ เช่นเดียวกับการรัฐประหารก็ไม่ใช่ความชอบธรรมที่ทุกคนยอมรับเช่นกัน

 

 

            “สังคมที่ความคิดเกี่ยวกับความชอบธรรม ใครสูง ใครต่ำ ใครมีเกียรติมากหรือน้อย เปลี่ยนไป เป็นสังคมที่กำลังวุ่นวายปั่นป่วน เต็มไปด้วยปัญหา เพราะเมื่อไหร่ที่คุณไม่รับสิ่งเหล่านี้ มันจะมีปัญหาตามมามากมาย”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความสำนึกในอัตลักษณ์และการเมืองที่เปลี่ยนไป

 

 

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้ชนชั้นกลางไทยมีสำนึกความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์สูงมากและกลายเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการอยู่ในสังคม ทุกคนต้องต่อรองอำนาจกับคนอื่นทั้งสิ้นและการต่อรองนี้เป็นการต่อรองผ่านอัตลักษณ์ ศ.ดร.นิธิยกตัวอย่างว่า ชาวกะเหรี่ยงไม่ชอบให้เรียกเขาว่าชาวเขา เพราะเขาคือกะเหรี่ยง คือปกากะญอ เขามีตัวตนของเขา ไม่ใช่เฉพาะความเป็นปกากะญอ แต่ยังหมายถึงการมีหนทางการทำมาหากินและมีคุณค่าต่อสังคม คำว่า อัตลักษณ์หรือตัวตนจึงไม่ใช่เป็นเพียงชื่อหรือรูปร่างหน้าตา แต่คือการนิยามว่า ฉันมีสถานะและบทบาทต่อสังคมอย่างไร การต่อรองกับผู้อื่นก็คือการแสดงสถานะและบทบาทของเราต่อสังคม ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญกว่าความสัมพันธ์ที่มีตามประเพณีทั้งสิ้น

 

เมื่อสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมเปลี่ยน การเมืองจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การเมืองแบบเดิมโดยสรุป คือการเกาะกลุ่มกันเป็นเครือข่าย เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจ ทว่าเครือข่ายทางการเมืองแบบนี้ไม่ทำงานเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะเกิดกลุ่มการเมืองใหม่อีกกลุ่มที่มีสมาชิกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการจัดองค์กรภายในที่ดีพอ นั่นคือกลุ่มชนชั้นกลางระดับล่าง

 

 

            “ว่ากันจริงๆ แล้ว พรรคการเมืองทุกพรรครวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย ยังเข้าไม่ถึงคนกลุ่มนี้อย่างจริงจังนัก คนเหล่านี้เรียกร้องให้คุณเคารพการเลือกตั้ง และเมื่อมีจำนวนมาก จึงทำให้การไม่เคารพการเลือกตั้งไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป รัฐประหารเมื่อมองจากสายตาของคนที่ชื่นชอบประชาธิปไตยรู้สึกว่าไม่ถูก แต่ถ้ามองในรูปของความสัมพันธ์ทางเครือข่าย การรัฐประหารเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรอำนาจที่ไม่ต่างกับการเลือกตั้ง กลไกการจัดสรรอำนาจที่สมัยหนึ่งเป็นที่ยอมรับ ปัจจุบัน มันรับไม่ได้และทำได้ยากขึ้น ถึงทำได้ก็ไม่เกิดผลดังที่เคยเกิดมาแล้ว การรัฐประหารที่เคยเป็นกลไกสำคัญหนึ่งในการเมืองไทย มันลดความสำคัญลงไป ที่ยกขึ้นมากล่าวก็เพื่อแสดงให้เห็นความเปลี่ยนในสังคมไทย”

 

 

            “ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมแบบนี้ เคยเกิดในสังคมอื่นมาแล้ว และก็ทำให้การเมืองสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อีกลักษณะหนึ่งได้หรือเปลี่ยนไม่ผ่านไปสู่อีกลักษณะหนึ่งก็ได้ กลายเป็นประเทศเผด็จการ คอมมิวนิสต์ นาซีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปสู่ประชาธิปไตยก็ได้”

 

 

ทำไมนักข่าวต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลง ทำไมต้องถอดรื้อมายาคติ

 

 

แล้วเหตุใดนักข่าวจึงต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลง คำตอบดูเหมือนจะชัดเจนอยู่แล้ว

 

 

            “ถ้าคุณเป็นผู้สื่อข่าว สมัยหนึ่งคำพูดของคุณบรรหาร ศิลปอาชา (ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา) ในฐานะประธานของเครือข่ายทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง จะมีความสำคัญมาก แต่ปัจจุบันมีความสำคัญน้อย ไม่ใช่เพราะพรรคชาติไทยพัฒนาได้คะแนนเสียงน้อยลงเพียงอย่างเดียว แต่เพราะระบบความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายทางการเมือง ที่สมัยหนึ่งทำให้คุณบรรหารกลายเป็นผู้ตัดสินใจที่สำคัญบางอย่างในทางการเมืองลดลงไปโดยอัตโนมัติ ถ้าผู้สื่อข่าวเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ คุณจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิม”

 

 

แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น การเข้าใจความเปลี่ยนแปลงยังนำไปสู่การถอดรื้อมายาคติชุดต่าง ๆ ที่ครอบงำความคิด ความเชื่ออีกด้วย สิ่งนี้สำคัญอย่างไร

 

ศ.ดร.นิธิอธิบายว่า ความคิดเรื่องมายาคติมาจากกลุ่มนีโอมาร์กซิสต์ ซึ่งคิดว่าอำนาจมาจากการครอบงำ ถ้าคุณสามารถครอบงำใครให้คิดอย่างเดียวกับคุณได้ หรือทำให้เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่คุณสถาปนาไว้ และถ้าผู้นั้นยอมรับว่าความจริงคือแบบนี้ คนคนนั้นก็จะถูกครอบงำและยอมรับอำนาจของคุณโดยไม่รู้ตัว และคุณก็จะสามารถกำหนดอำนาจได้ว่า จะให้อำนาจไหลไปที่ใคร นี่คือที่มาของความคิดที่ว่า ถ้านักข่าวไม่ถอดรื้อมายาคติ ย่อมทำข่าวไม่ได้ จะเขียนแต่ข่าวปิงปอง และไม่มีวันรู้ว่าอะไรเป็นข่าว อะไรเป็นการรายงานความจริง จนกว่าจะถอดสิ่งที่ถูกครอบงำไว้ออกจนหมดเสียก่อน แล้วจึงจะเห็นว่าอะไรคือตัวปัญหา อะไรคือสิ่งสำคัญที่นักข่าวจะต้องรายงาน

 

 

ความจริงทุกสิ่งล้วนถูกสถาปนาขึ้น

 

 

            “ถามว่าความจริงที่เรายึดถือกันทุกวันนี้ เป็นความจริงที่ถูกสถาปนาขึ้น หรือเป็นความจริง จริงๆ คำตอบก็คือความจริงทั้งหลายถูกสถาปนาขึ้นทั้งสิ้น ส่วนความจริง จริงๆ ไม่มีใครรู้ เราสร้างให้สิ่งนั้นเป็นความจริงขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงหยิบความเข้าใจจำนวนหนึ่งที่เราเรียกว่ามายาคติมาคุยกัน เริ่มตั้งแต่สื่อ ที่เราเรียกว่าสื่อ จริงๆ แล้วคืออะไร ช่วยกันคิดว่า สื่อรายงานบนฐานที่เป็นจริงหรือไม่จริง สื่อเลือกเอาเองตามอคติหรืออะไรกันแน่”

 

 

การพัฒนาคืออะไร คือการกำหนดว่าทรัพยากรที่คนกลุ่มหนึ่งใช้อยู่ แต่ถูกนิยามว่าการใช้แบบนี้ไม่พัฒนา จึงนำทรัพยากรดังกล่าวไปให้คนอีกกลุ่มใช้ ซึ่งเสียภาษีให้รัฐมากกว่า สิ่งนี้เรียกว่าการพัฒนาใช่หรือไม่ การพัฒนาจะดีและยุติธรรมในตัวมันเองหรือไม่ ศ.ดร.นิธิ ตั้งคำถาม และกล่าวไล่เลียงหัวข้อการถอดรื้อมายาคติอื่น ๆ ของโรงเรียนนักข่าวว่า

 

วิทยาศาสตร์คืออะไร เป็นภววิสัย ไม่มีตัวตนของนักวิทยาศาสตร์เลยจริงหรือ หรือจริง ๆ แล้ว ตัวนักวิทยาศาสตร์ก็เป็นผู้กำหนดสิ่งที่ศึกษาด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ระบบศีลธรรม คืออะไร สิ่งที่เรียกว่าความดี-ความชั่วถูกกำหนดจากเงื่อนไขทางสังคม โดยไม่ได้มีมาเองตามธรรมชาติหรือไม่

 

สถาบันหลักหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ค่อยมีใครคิดว่า พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันทางการเมือง ดังนั้น เวลาที่พระมหากษัตริย์ทรงทำสิ่งใดก็แล้วแต่ จึงมักคิดว่าเป็นเรื่องตัวบุคคล โดยไม่ได้คิดว่า สิ่งนั้นมีนัยทางการเมืองจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

 

 

            “ความยุติธรรมคืออะไร ประเทศไทยเวลาศาลตัดสินแล้ว สิ้นสุดจบ ยุติธรรมแล้ว แต่ศาลก็ยังเบี้ยวให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ ถามว่าอะไรคือความยุติธรรมกันแน่”

 

 

            “จะมีคนมาชวนคุยในเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ยอมรับการครอบงำใหม่นะครับ แต่คุณต้องถอดรื้อสิ่งเหล่านี้ออกไปก่อน เมื่อใดที่คุณเริ่มตั้งคำถามกับข้อสรุปของคนอื่นว่า อาจจะไม่แน่อย่างนั้นเสมอไป คุณก็จะสงสัยทุกข้อสรุป รวมทั้งข้อเสนอของวิทยากรเองด้วย คุณก็ต้องตั้งข้อสงสัย จะทำให้คุณไม่มีอะไรยึดถือเลย ซึ่งคนไทยกลัวมาก เมื่อใดที่คุณไม่แน่ใจว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด คุณฉลาดขึ้นอีกสองเท่า แต่เมื่อใดที่คุณแน่ใจว่าสิ่งนี้ถูก คุณโง่ลงไปอีกสองเท่า เหตุดังนี้เราจึงนำเรื่องนี้มาเตรียมคนที่จะทำสื่อ คือถ้าเริ่มต้นคนทำสื่อโง่ คิดดูว่าสื่อที่ทำออกไปคนอ่านสื่อก็โง่ตามไปด้วย” ศ.ดร.นิธิกล่าว

 

 

สื่อต้องรับผิดชอบต่อความจริงหรือความสงบเรียบร้อยของสังคม

 

 

ในช่วงของการอภิปรายแลกเปลี่ยน เกิดคำถามหลายข้อเกี่ยวกับการทำงานของสื่อ ผู้เรียนคนหนึ่งกล่าวเปิดประเด็นว่า การเขียนข่าวสักเรื่องหนึ่งนักข่าวจะก้าวข้ามความเกรงกลัวอำนาจหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ได้อย่างไร

 

 

            “ผมขออนุญาตเรียกสิ่งที่คุณพูดถึงว่า รูปแบบแล้วกัน มันมีรูปแบบอย่างรูปแบบหนึ่ง คิดให้ดี ๆ รูปแบบก็คือเกราะป้องกันตัวเอง สำหรับคนขี้ขลาดทั้งหลาย น่าเสียดายคือการศึกษาไทยเน้นเรื่องรูปแบบมาก จึงยิ่งทำให้คนไทยยิ่งขี้ขลาด ไปหลบซ่อนอยู่ตามรูปแบบต่าง ๆ อยู่ตลอด ถ้าเราสำนึกเรื่องนี้ได้ แล้วให้ความสำคัญกับรูปแบบน้อยลง รูปแบบไม่ใช่สิ่งที่มีมาเองตามธรรมชาติ รูปแบบล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น แล้วจะสร้างใหม่บ้างไม่ได้หรือ เมื่อใดที่คุณหลบอยู่ในรูปแบบ คุณจะไม่ยอมลงโทษ แต่ถ้าคุณออกจากรูปแบบนั้น คุณเสี่ยงแล้ว คำถามคือจะเสี่ยงหรือเปล่า หรือจะอยู่ในรูปแบบนี้จนตาย” ศ.ดร.นิธิ กล่าว

 

 

เกิดการซักถามต่อว่า ถ้าเช่นนั้นการเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อก็คือการหลบซ่อน ซึ่ง ศ.ดร.นิธิกล่าวว่า ใช่

 

 

            “ถ้าอย่างนั้น สื่อไม่ควรมีการเซ็นเซอร์ตัวเอง” ผู้เรียนซัก

 

“แน่นอน”

 

“ทำไม”

 

ศ.ดร.นิธิ ถามกลับว่า แล้วทำไมจึงต้องมี

 

 

            “เพราะตอนเรียนบอกว่า ควรให้สื่อควบคุมดูแลกันเอง ดีกว่าให้รัฐเข้ามาดูแล ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าสื่อไม่ต้องได้รับการดูแลเลย” ผู้เรียนแสดงความเห็น

 

            ศ.ดร.นิธิ ร่วมแลกเปลี่ยนว่า ถ้าให้รัฐควบคุมสื่อ มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล แต่การให้สื่อควบคุมกันเอง สื่อก็ฉ้อฉลได้เช่นกัน อุดมคติของการควบคุมสื่อจึงอยู่ที่การให้สังคมเป็นผู้ควบคุม ทว่าสังคมไทยยังไม่มีความรู้เพียงพอในการควบคุมสื่อ สถานการณ์ปัจจุบันจึงกลายเป็นว่า ปล่อยให้ตลาดเป็นผู้ควบคุมสื่อ ซึ่งก็มีความฉ้อฉลอีกเช่นกัน

 

ถึงจุดนี้ ผศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามต่อผู้เรียนว่า เหตุใดจึงคิดว่าการเซ็นเซอร์เป็นสิ่งที่ดี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “เพราะการนำเสนอเรื่องบางเรื่องออกไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี อาจกระทบต่อความมั่นคงและก่อให้เกิดความวุ่นวาย”

 

 

            “แต่ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงล่ะ” ผศ.เวียงรัฐ ซักถาม

 

            “แล้วถ้ามันขัดกับประสบการณ์เดิมของสังคม สังคมยอมรับไม่ได้ เสนอออกไปแล้วจะเกิดความวุ่นวายในสังคม ถ้าอย่างนั้นข้อเท็จจริงกับความวุ่นวายในสังคม เราควรเลือกอะไร”

 

            “ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคุณคิดว่า บทบาทของสื่อคือการควบคุมความวุ่นวาย เพื่อไม่ให้สังคมวุ่นวาย และความวุ่นวายนั้น ระเบียบของสังคมนั้น เรายึดอะไร ยึดธรรมะ กฎหมาย เสียงข้างมาก หรือยึดความมั่นคงของฝ่ายความมั่นคง อะไรคือความมั่นคงที่สื่อควรยึดถือ”

 

            ผู้เรียนคนเดิมตอบว่า ในทัศนะของตน ความมั่นคงคือการอยู่ในสถานะที่มีเสถียรภาพ แต่เมื่อมีประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่คนไม่คุ้นเคย แล้วนักข่าวนำเสนอออกไป แม้ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงก็ตาม แต่ถ้าคนในสังคมไม่เคยรับรู้มาก่อน หรืออยู่ในวงจรของความเงียบงัน อาจนำไปสู่ความวุ่นวาย ความวุ่นวายในทัศนะของผู้เรียนรายนี้ หมายถึงเมื่อคนในสังคมลุกฮือขึ้นมาจนนำไปสู่ความขัดแย้ง

 

ขณะที่ ใบตองแห้ง หรือ นายอธึกกฤต แสวงสุข คอลัมนิสต์ กล่าวเสริมว่า มีกรณีที่สื่อเซ็นเซอร์ตัวเองในบางครั้ง แต่มันต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก มันมีคำถามที่คาบเส้นอยู่ว่า จะนำเสนอหรือไม่นำเสนอ ถ้าไม่นำเสนอเลย ก็ไม่ใช่สื่อ แต่นักข่าวต้องมีวิธีการนำเสนอ

 

 

            “คุณเห็นด้วยกับผมหรือไม่ว่า สังคมไทยมันเปลี่ยน เปลี่ยนทั้งในแง่วัฒนธรรมและสังคม เช่น การที่คุณพูดถึงลำดับขั้นในสังคม บัดนี้ก็ถูกตั้งคำถามและไม่ยอมรับ สิ่งที่เคยเป็นความชอบธรรม คนก็ตั้งคำถาม เช่น ครั้งหนึ่งองคมนตรีมีความใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ ไม่มีใครกล้าพูดถึง แต่เดี๋ยวนี้คนนำมาติฉินนินทา ถามว่านี่คือความวุ่นวายหรือไม่ ระเบียบของสังคม ตัวระเบียบมันไม่มีแล้ว มันถูกตั้งคำถาม มันคลอนแคลนหมดแล้ว ถามว่าวุ่นวายหรือเปล่า มันวุ่นวายอยู่แล้ว คำถามคือสื่อจะสามารถทำให้มันวุ่นหรือไม่วุ่นได้อย่างไร สมมติว่าสื่อไม่เสนอข่าวเรื่องสถาบันกษัตริย์เลย คนก็จะไม่พูดเรื่องนี้หรือไม่” ศ.ดร.นิธิ  ชวนคิดและยกตัวอย่างเชิงคำถามว่า

 

ถ้านักข่าวพบข้อเท็จจริงว่า การกระจุกตัวของไข้หวัดนกอยู่ที่จ.ภูเก็ต และสถิติบอกว่า ทุกพันคนในภูเก็ตเป็นไข้หวัดนก 50 คน ข้อเท็จจริงนี้ควรลงหรือไม่

 

 

            “คิดว่ามองได้ 2 มุม ถ้าลงก็กระทบกับการท่องเที่ยวของภูเก็ต แต่อีกด้านหนึ่งก็จะทำให้คนได้ระมัดระวังตัว” ผู้เรียนตอบ

 

 

            “สังคมไทยจะจัดการปัญหาเรื่องนี้โดยรู้ความจริงดี หรือโดยไม่รู้ความจริงดี ไม่รู้นะ ผมก็ยังคิดว่ารู้ความจริงดีกว่า ถ้าคุณรู้ความจริง อย่างน้อยสังคมจะช่วยเป็นพลังบังคับว่า รัฐบาลต้องทำอะไรบ้าง อาจจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวไป 6 เดือน แต่จะสามารถหยุดการระบาดได้ด้วยความจริงไม่ใช่หรือ” ศ.ดร.นิธิ แสดงทัศนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ด้านนายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการอำนวยการ เว็บไซต์ประชาไท ยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงว่า มีนักข่าวส่งข่าวมาว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีชาวมุสลิมที่ฆ่าชาวพุทธในนามของศาสนาอยู่จริง คำถามคือข่าวนี้ควรลงหรือไม่ควรลง ซึ่งนายชูวัสเลือกที่จะไม่ลง โดยให้เหตุผลว่า เพราะมันไม่ใช่ความจริงในทัศนะของเขาและเป็นสิ่งที่ต้องการคำอธิบายมากกว่าที่อยู่ในข่าว ซึ่งหากใส่คำอธิบายลงไป งานเขียนดังกล่าวควรออกในรูปของบทความหรือสกู๊ป ไม่ใช่ข่าว

 

ดร.สุระชัย ชูผกา อาจารย์ประจำสาขาวิชาสื่อสารมวลชน คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แย้งว่า สามารถลงได้ แต่ต้องลงให้รอบด้าน เช่น ต้องกล่าวให้ชัดว่ามีชาวมุสลิมที่นั่นกี่คน และมีที่ฆ่าผู้อื่นกี่คน เกี่ยวพันกับเรื่องศาสนาหรือไม่  เป็นคำสอนในศาสนาหรือไม่ และกล่าวต่อว่า

 

 

            “มีการวิจัยทางด้านสื่อสารมวลชนมานานแล้วว่า สื่อไม่ได้มีอิทธิพลชี้นำคนได้ สื่อมีอิทธิพลได้แค่เสริมแรง เสริมความเชื่อ ทุกวันนี้คนจึงเลือกเสพสื่อตามสีเสื้อที่ตนเชื่อ คนเสพสื่อเพื่อจะยืนยันและตอบสนองความเชื่อ เช่น ข่าวนี้ คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าชาวมุสลิมเป็นแบบนี้ และข้างในลึก ๆ ไม่ชอบคนอิสลามเพราะถูกอบรมสั่งสอนมา ข่าวนี้จึงจะไปยันความเชื่อ แต่ไม่มีผลต่อการชี้นำให้คนทำ การเสนอข่าวต้องเสนอ แต่ต้องเสนออย่างระมัดระวัง ครบถ้วน และรอบด้านที่สุด”

 

 

อย่างไรก็ตาม ด้านน.ส.สุชาดา จักรพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว TCIJ เห็นด้วยกับนายชูวัส โดยอธิบายว่า จากประสบการณ์ของศูนย์ข่าว TCIJ สื่อออนไลน์ทำหน้าที่ที่สอดคล้องกับการเสพข่าวสารของคนยุคนี้ ซึ่งผู้อ่านข่าวมักอ่านจากพาดหัวและโปรย โดยมักไม่อ่านรายละเอียด คำอธิบาย ประวัติศาสตร์ และจะยิ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากสิ่งที่นักข่าวต้องการนำเสนอ

 

ศ.ดร.นิธิ กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่า สื่อมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความจริง แต่ไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ถึงกระนั้น ศ.ดร.นิธิ ได้เปิดพื้นที่ไว้ว่า

 

 

            “เรื่องวิธีการจัดการกับความจริงเป็นปัญหาที่เถียงกันมาแต่โบราณ เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าเถียงกันได้ตลอดว่า เราจะจัดการกับความจริงแบบตรงไปตรงมา หรือจัดการแบบไม่ตรงไปตรงมา เพื่อรักษาความสงบ มันคงมีอื่น ๆ ที่เราเชื่อว่าสูงหรือดีกว่าความจริงอยู่ ผมว่าเป็นเรื่องที่เถียงกันได้ อย่าเพิ่งมีข้อสรุป แต่ผมเห็นไปในทางที่ว่า สื่อต้องนำเสนอ ถ้าจริงเสียอย่าง สังคมจะจัดการกับมันได้”

 

 

ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาการปฐมนิเทศของหลักสูตรโรงเรียนนักข่าว และบรรยากาศบางส่วนของการถกเถียงแลกเปลี่ยนว่าด้วยบทบาทของสื่อในสังคมปัจจุบัน ไม่มีคำตอบแบบฟันธง แต่ต้องการสร้างพื้นที่การถกเถียงเพื่อร่วมกันกระเทาะ สงสัย ตั้งคำถาม ต่อมายาคติต่างๆ ที่ครอบงำนักข่าวอยุ่ในปัจจุบัน

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: