ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ 18 มิ.ย. 2556 | อ่านแล้ว 1457 ครั้ง

 

 

 

ส่วนการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ม) ขับไล่ชาวชุมชนวัดแคนางเลิ้ง เพราะต้องการใช้ที่แปลงนี้ทำสถานีรถไฟใต้ดิน

 

ในนามของ“ประโยชน์สาธารณะ” ฝ่ายผู้ขับไล่ทั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจและระบบราชการใช้ยุทธวิธีในการขับไล่ไม่เหมือนกัน

 

ในกรณีวัดแคนางเลิ้งนั้น ผู้ขับไล่อย่าง ร.ฟ.ม.รู้ดีว่านางเลิ้งเป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  ส่วนผู้อยู่อาศัยเป็นเพียงผู้เช่าที่ระบบกฎหมายไทยไม่ให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว ทิศทางของการขับไล่จึงมุ่งไปสู่การทำความข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ระหว่าง ร.ฟ.ม.กับสำนักงานทรัพย์สินให้ได้ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ-และไม่มีเหตุอะไรให้สงสัยว่าจะทำไม่สำเร็จ เมื่อคำนึงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันในพื้นที่อื่น –นั่นย่อมทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสถูกเจ้าของพื้นที่ตัวจริงขับไล่ได้ทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในกรณีป้อมมหากาฬ  กทม.รู้ว่าเจ้าของที่หลายรายมีโฉนด ส่วนอีกหลายคนเป็นผู้เช่าจากเจ้าของโฉนดอีกที  ยุทธวิธีหลักจึงได้แก่การเจรจาผสมกับหว่านล้อมให้เจ้าของโฉนดเดิมยอมรับค่ารื้อถอนโยกย้าย  ถัดจากนั้นก็ได้แก่การออกกฎหมายบังคับเวนคืนจนผู้ที่มีโฉนดและผู้เช่าที่ล้วนมีสถานะเป็นผู้บุกรุกไปเสียทั้งหมด  ผู้ไล่ในกรณีนี้ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่มีทางอื่นนอกจากการถูกไล่  ทางเลือกที่พอมีบ้างคือจะถูกไล่แบบรับเงินไปดี ๆ หรือถูกไล่แบบมีคดีความติดตัว

 

น่าสนใจว่าในขณะที่เผชิญหน้ากับผู้ขับไล่แตกต่างกัน ฝ่ายผู้ถูกไล่อย่างป้อมมหากาฬและวัดแคนางเลิ้ง กลับเลือกใช้เครื่องมือในการต่อสู้กับการขับไล่ที่คล้ายกันมาก ป้อมมหากาฬพูดถึงความเป็นชุมชนเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยบ้านเมืองโบราณของชาวบ้านผู้เป็นลูกหลานข้าราชบริพารคราวต้นรัตนโกสินทร์ ขณะที่วัดแคนางเลิ้ง เน้นความเป็นชุมชนที่สืบทอดวัฒนธรรมอย่างละครชาตรี  ร้านขายยาไทยแผนโบราณ ความเป็นละแวกที่ผู้คนเกื้อกูลกันสูง ฯลฯ  รวมทั้งการวัฒนธรรมร่วมสมัยอย่างตลาดหรือการผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมอย่างดอกไม้ไฟ

 

 

ควรสังเกตด้วยว่านอกจากความขัดแย้งสองกรณีที่กล่าวไปแล้ว การไล่และการขับไล่อีกหลายกรณีก็ดำเนินไปโดยยุทธวิธีและเครื่องมือทำนองเดียวกันนี้ ตัวอย่างเช่นความขัดแย้งระหว่างจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก (อุเทนถวาย) หรือความขัดแย้งระหว่าง ร.ฟ.ม.กับชุมชนวัดเล่งเน่ยยี่แถวเยาวราช  นั่นก็คือฝ่ายขับไล่ยืนยันว่ามีสิทธิในการไล่โดยกฎหมาย ส่วนฝ่ายถูกไล่ก็อ้างความเป็นสถาบันเก่าแก่ที่มีกรรมสิทธิเหนือที่ดินไม่ต่างจากจุฬา ขณะที่ชุมชนเล่งเน่ยยี่ถึงขั้นสร้างพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมือง

 

ขณะที่ราชการและรัฐวิสาหกิจขับไล่โดยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ (การตกลงผลประโยชน์กับเจ้าของที่ดิน) และเครื่องมือทางกฎหมาย (การเวนคืนและคำสั่งศาล) ฝ่ายผู้อยู่อาศัยก็ปกป้องตัวเองด้วยเครื่องมืออย่างความเป็นชุมชนเก่าแก่ และวัฒนธรรม กล่าวอีกนัยคือฝ่ายขับไล่ต่อสู้ผ่านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และอำนาจการเมืองที่ให้คุณค่าเป็นพิเศษต่อ “ประโยชน์สาธารณะ” อย่างขนส่งมวลชน มหาวิทยาลัย หรือ สวนสาธารณะ ขณะที่ฝ่ายถูกขับไล่ปกป้องตัวเองผ่านทุนทางสังคมและการสร้างเครือข่ายทางสังคม

 

แม้จะเข้าใจได้ว่าการเลือกปกป้องตัวเองด้วยวิธีนี้เกิดขึ้นในเงื่อนไขอย่างไร แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีหลายกรณีที่วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้ประสบความสำเร็จ ตัวอย่างคือชุมชนเล่งเน่ยยี่ถูกไล่รื้อไปแล้ว ส่วนอุเทนถวายถูกตอบโต้จากจุฬาด้วยเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าจุฬามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและยิ่งใหญ่กว่า วัดแคนางเลิ้งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนน้อยจนโอกาสที่จะปกป้องตัวเองสำเร็จนั้นยิ่งดูน้อยลงไปด้วย  ส่วนอนาคตของป้อมมหากาฬก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ทำไมจึงเป็นแบบนั้น?

 

หัวใจของแนวคิดทุนทางสังคม คือการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเอกบุคคล ผู้เชื่อว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ใต้ชุมชนเดียวกัน    แม้ในความเป็นจริงแล้วจะแตกต่างกันแค่ไหน ส่วนเครือข่ายทางสังคมก็หมายถึง ภาวะที่เอกบุคคลนอกชุมชนมีความไว้เนื้อเชื่อใจชุมชนถึงขั้นยอมผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทางสังคมเพื่อกระทำการบางอย่าง พลังของทุนทางสังคมจึงผันแปรตามความเหนียวแน่นของชุมชนเท่า ๆ กับความสามารถในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายทางสังคมกลุ่มอื่น  ปมเงื่อนจึงได้แก่การสร้างความเป็นชุมชนที่เอื้อต่อการสร้างสายสัมพันธ์กับคนนอกชุมชน

 

คำถามคือการสร้างชุมชนบนความเป็นกลุ่มผู้อยู่อาศัยบนพื้นที่มายาวนานจนมีวัฒนธรรมเก่าแก่บางอย่างนั้น “เอื้อ” หรือ “ไม่เอื้อ” ต่อการสร้างเครือข่ายดังที่กล่าวมา?

 

จริงอยู่ว่าวัฒนธรรมนั้นเอื้อต่อการรวมกลุ่มของเอกบุคคลทั้งในพื้นที่เดียวกันและจากต่างพื้นที่ซึ่งมีความเป็นชุมชนเก่าแก่เหมือนกัน เราจึงเห็นภาพการเชื่อมโยงประเด็นไล่รื้อระหว่างชุมชนนางเลิ้ง ป้อมมหากาฬ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ได้เสมอ แต่ชุมชนบนฐานคิดแบบนี้ไม่เอื้อเลยต่อเอกบุคคลในพื้นที่ ซึ่งไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหลักในชุมชนดังกล่าว และยิ่งไม่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายกับกลุ่มคนที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับ “ชุมชนเก่าแก่” หรือ “วัฒนธรรม”

 

 

 

คิดง่าย ๆ คืออุเทนถวายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนี้ไม่ได้แน่ หรือแม้กระทั่งผู้ถูกร.ฟ.ม.ขับไล่ เพื่อสร้างรถไฟฟ้าสายนั้นสายนี้ในบริเวณอื่น ๆ อย่างพวกบ้านตึกแถวละแวกประตูน้ำ ธนาคารแห่งประเทศไทย เตาปูน พระประแดง ฯลฯ ก็คงเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชุมชนเก่าแก่และมีวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะอุเทนถวายหรือคนตึกแถวเข้าใจความเดือดร้อนของพวกวัดแคนางเลิ้งหรือป้อมมหากาฬไม่ได้ แต่เป็นเพราะฝ่ายนี้เลือกใช้เครื่องมือที่โดยตัวมันเองแล้วปิดโอกาสที่คนกลุ่มอื่นจะมีส่วนร่วมได้ยิ่งขึ้นไป

 

ในแง่นี้แล้ว แม้ความเป็นชุมชนและวัฒนธรรมพื้นถิ่นจะมีพลังในการสร้างทุนทางสังคม แต่ก็เป็นอุปสรรคในการสร้างเครือข่ายทางสังคมให้เติบโตขึ้นด้วย ไม่ต้องเอ่ยถึงความยากลำบากในการชักชวนเอกบุคคลผู้อยู่นอกชุมชนและมีระยะห่างจากวัฒนธรรมให้เห็นว่ากลุ่มเป็นตัวแทนของประโยชน์สาธารณะ เมื่อเทียบกับรัฐ หรือระบบราชการที่ในโลกสมัยใหม่นั้นถือว่าได้เปรียบกว่าในการอนุมานว่าตัวเองเป็นผู้แทนของ “ประโยชน์สาธารณะ” จริง ๆ

 

สำหรับผู้เผชิญการถูกไล่รื้อในนามของ “ประโยชน์สาธารณะ” ทางออกที่ควรจะเป็นมากกว่าการต่อสู้เชิงวัฒนธรรมก็คือการต่อสู้บนหลักการเรื่องความมั่นคงในการอยู่อาศัยเหนือที่ดิน ที่ไปไกลกว่าสิทธิตามกฎหมาย ซึ่งมีปัญหาอย่างน้อยสองข้อ ข้อแรกคือเป็นสิทธิที่วางอยู่บนการไม่คำนึงถึงความมั่นคงในการอยู่อาศัยของผู้เช่า ข้อสองคือแม้บุคคลที่มีสิทธิเหนือที่ดินตามกฎหมาย ก็อาจถูกรัฐใช้กฎหมายยึดครองที่ดินในนามของการเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะไปได้ตลอดเวลา

 

การคำนึงถึงการเมืองในพื้นที่เมืองตามนัยยะนี้เชื่อมโยงประเด็นความยุติธรรมในความหมายของ Justice กับพื้นที่ซึ่งมนุษย์อาศัยทางกายภาพ ความอยุติธรรมทางพื้นที่คือ สภาวะที่กระบวนการหลายอย่างกำกับพื้นที่จนผู้อยู่อาศัยบนพื้นที่เผชิญความอยุติธรรมด้านอื่นได้ตลอดเวลา การทำให้เอกบุคคลทวีอำนาจในการควบคุมกระบวนการเหล่านี้คือการทำให้เอกบุคคลควบคุมได้ยิ่งขึ้นว่า จะมีชีวิตบนพื้นที่อย่างไรบ้าง การสร้างความยุติธรรมเชิงพื้นที่แบบนี้ จึงเป็นการต่อสู้ทางการเมืองในเมืองที่เป็นสิทธิโดยชอบธรรม


ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: