จี้ออกกฎหมายลูกม.190 ติงขาดถ่วงดุล-ไม่โปร่งใส

12 มิ.ย. 2556 | อ่านแล้ว 385 ครั้ง

 

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) จัดรับฟังความคิดเห็นและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 190 ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย โดยมีคณะกรรมาธิการพิจารราร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190)  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และผู้แทนจากภาควิชาการร่วมอภิปราย

 

 

คปก.แนะออกกม.ลูกหลังแก้รธน.มาตรา 190 อุดช่องโหว่

 

 

นายไพโรจน์ พลเพชร กรรมการปฏิรูปกฎหมาย เปิดเผยว่า มีข้อกังวลว่า หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 190  ต้องไปออกกฎหมายลูกนั้น จะมีประเด็นสำคัญตามมาคือ หนังสือสัญญาจะเป็นประเภทใด จะมีการศึกษาผลกระทบหรือไม่ และใครจะเป็นผู้ศึกษา ขณะเดียวกันหากกฎหมายลูกออกมาล่าช้า ก็จะต้องใช้กฎหมายแม่บท ประเด็นนี้อาจจะเกิดการโต้แย้งจากหลายฝ่ายได้ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐสภา ที่จะต้องทำกฎหมายลูกทันที หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 อีกทั้งควรเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วม โดยพิจารณาด้วยว่า เรื่องใดบ้างที่ต้องรับฟังความคิดเห็น เพื่อแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้ให้ฝ่ายปฏิบัติทำงานได้จริง

 

นายไพโรจน์กล่าวว่า กรณีวรรค 4 ที่ระบุก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันในหนังสือสัญญาตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น ประเด็นนี้ตนมีข้อสังเกตว่า ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลได้จริงหรือไม่ เนื่องจากการเข้าถึงสัญญานั้น จะกระทำได้ในขั้นตอนที่ทำสัญญาแล้วเสร็จ ประเด็นนี้เป็นจุดอ่อนประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณา เพราะหากให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของหนังสือสัญญาได้ตั้งแต่ขั้นต้น ก็จะช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรองของรัฐไทยได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งรัฐสภายังมองไม่เห็นถึงประเด็นนี้มากนัก และคิดว่าเป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข อย่างไรก็ตามคาดว่าการพิจารณาในวาระสองและสามอาจจะต้องใช้เวลา ซึ่งคปก.จะเร่งทำความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เสนอไปยังรัฐสภาโดยเร็ว

 

 

กมธ.ฯแจงคำนึงผลกระทบรอบด้าน

 

 

ด้านผศ.จารุพรรณ กุลดิลก ผู้แทนคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190) กล่าวชี้แจงว่า ในการแก้ไขมาตรา190 เป็นมาตราที่ยากที่สุด ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทั้งผู้ที่นำกฎหมายเข้าสู่สภา ตลอดจนผู้ยกร่างฯ ตรงนี้เราได้พิจารณาแล้วว่า มีใครเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบ้าง ประเทศไทยจะได้เปรียบเสียเปรียบต่างประเทศอย่างไร โดยการพิจารณาครั้งนี้ได้คำนึงถึงประวัติความเป็นมา วัฒนธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ ทิศทางการทูตในอนาคตรวมถึงการจะเข้ารวมเป็นประชาคมอาเซียนและข้อกังวลต่าง ๆ แล้ว

 

 

ติงเพิ่มอำนาจฝ่ายบริหาร ขาดหลักธรรมาภิบาลในกม.ลูก

 

 

ขณะที่ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า กระบวนการขั้นตอนในการจัดทำหนังสือสัญญาตามร่างฯฉบับนี้ ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานราชการ มากกว่าการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน อีกทั้งมีการกำหนดกรอบในการทำหนังสือสัญญาไว้หลวม ๆ ทำให้อำนาจของดุลพินิจตกอยู่กับฝ่ายบริหารค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีกฎหมายลูก นอกจากนี้ยังเห็นว่าไม่มีการกำหนดหลักธรรมาภิบาลที่สำคัญในกฎหมายลูก เช่น การถ่วงดุล ความโปร่งใส ความเป็นกลาง เป็นต้น

 

 

            “จากประสบการณ์ที่ยังไม่มีการตรากฎหมายลูก แม้เวลาล่วงเลยมาแล้ว 6 ปี ควรกำหนดให้มีการดำเนินการภายใต้ระบบเดิม ในช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายลูก เพื่อผลักดันให้เกิดกฎหมายลูก ขณะเดียวกันเห็นว่าควรกำหนดกรอบของกระบวนการ และขั้นตอนในการทำหนังสือสัญญาที่ไม่น้อยกว่าเดิม เพราะประเภทของหนังสือสัญญาถูกจำกัดแล้ว ภาระที่ตกแก่หน่วยงานราชการ ไม่น่าจะมากนัก นอกจากนี้ยังเห็นว่าหากมีการขยายประเภทของหนังสือสัญญา อาจกำหนดกระบวนการและขั้นตอนของหนังสือสัญญาแต่ละประเภทที่แตกต่างกันด้วย” ดร.เดือนเด่น กล่าว

 

 

ดร.เดือนเด่นกล่าวว่า การกำหนดบทนิยามให้แคบลงนั้นเป็นเรื่องดี แต่นิยามใหม่ยังแคบเกินไป ควรรวมถึงหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อการเงิน การคลังของประเทศ  เช่น สัญญาเงินกู้จากต่างประเทศ ตลอดจนหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งแวดล้อม แรงงาน และสิทธิมนุษยชนที่ต่างไปจากเดิม และความตกลงกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ

 

 

เสนอเพิ่มบทคุ้มครอง-แย้งอำนาจวินิจฉัยศาลรธน.หวั่นขาดความสมดุล

 

 

นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้แทนกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟที เอ ว็อทช์)กล่าวว่า จำเป็นต้องมีการเน้นย้ำคุณูปการมาตรา190 ซึ่งตนมองว่า นิยามที่กว้างขึ้นสอดคล้องกับการเป็นประชาธิปไตย ลดความสุ่มเสี่ยงทางการเมือง และสร้างอำนาจต่อรองได้มากขึ้น แต่ข้อจำกัดก็ยังมีอยู่คือ มีความไม่ชัดเจนในพื้นที่การตีความเดิม จึงนำมาสู่การแก้ไขมาตรา190 เพื่อลดข้อจำกัดด้านความล่าช้า ความไม่มีประสิทธิภาพดังกล่าว

 

นายจักรชัยกล่าวต่อว่า กลุ่มเอฟทีเอว็อทช์มีความเห็นว่า ในวรรคสองควรจะต้องมีเพิ่มเติมเรื่อง บทคุ้มครองด้านการค้าการลงทุน หรือมีบทเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองหรือจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน หรือสังคม ที่มิใช่ความร่วมมือทางวิชาการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ขณะเดียวกันควรเพิ่มบทบัญญัติ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญา รวมทั้งการศึกษาถึงประโยชน์ของหนังสือสัญญา และผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการ และการดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่างผู้ที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญาดังกล่าว ประเด็นนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก หากมีการแก้ไขปรับปรุงตรงจุดนี้จะช่วยลดแรงเสียดทานต่อรัฐบาลได้

 

 

          “ประเด็นที่เห็นต่างประเด็นหนึ่งคือ ในกรณีที่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาใดเข้าลักษณะหนังสือตามวรรคสาม ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยหนังสือสัญญา ซึ่งประธานรัฐสภาจะได้แต่งตั้งขึ้น ประกอบด้วยประธานสภา ส.ส. ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีและ ประธานศาลฎีกา เพื่อให้เกิดความสมดุล ไม่เห็นด้วยที่ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด”นายจักรชัยกล่าว

 

 

ตั้ง 5 ประเด็นถกเถียงดุลอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ

 

 

ผศ.รัชดา ธนาดิเรก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มี 5ประเด็นสำคัญ คือ 1.ควรจะมีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่ 2.เรื่องการเยียวยา ไม่ควรมองเฉพาะเรื่อง FTA อาจจะมองเรื่องอื่นด้วย เช่น สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรต่างๆ 3. กรอบการเจรจาควรจะมีอยู่หรือไม่ 4.หากมีความเห็นแย้งกัน เหตุใดต้องให้การวินิจฉัยกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ 5.บทเฉพาะกาล ในมาตรา 4 เขียนไว้ แต่ยังไม่ได้หยิบยกเรื่องของการเยียวยา ช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายลูก ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่และมีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก ทั้ง 5 ประเด็นเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไป

 

ด้านผู้แทนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมเจรจาการค้าต้องพิจารณาทั้งสองส่วนคือ ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจุดประสงค์หลักของการแก้ไขมาตรา 190 เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความคลุมเครือ ความไม่ชัดเจนในบทนิยาม ประกอบกับมีประเด็นเกี่ยวกับผลผูกพันด้านการค้าการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ จึงต้องปลดล็อคความคลุมเครือดังกล่าวนั้น และการออกกฎหมายลูกก็จะทำได้ง่ายขึ้น

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: