นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ภาษาของเจ้า

16 มิ.ย. 2556


 

มีปรากฏการณ์ทางภาษาที่น่าสนใจอันหนึ่งเกิดขึ้นในเมืองไทย ระหว่างปลาย ร.5 มาจนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครอง



พระเจ้าลูกยาเธอใน ร.5 ที่ถูกส่งไปศึกษาต่อในยุโรปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ สำเร็จการศึกษา (บางพระองค์ก็ไม่สำเร็จ แต่ถูกไล่ออกบ้าง หรือเลิกเรียนไปเฉยๆ บ้าง) กลับมาเมืองไทยหลายพระองค์ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว



เจ้านายเหล่านี้สื่อสารกันผ่านภาษาอังกฤษ แม้ว่าบางพระองค์อาจถูกส่งไปเรียนที่เยอรมันบ้าง รัสเซียบ้าง แต่ก็ทรงรู้ภาษาอังกฤษดี เพราะส่วนใหญ่มักไปเรียนชั้นมัธยมในอังกฤษก่อน และภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาที่สอนกันในสถาบันการศึกษาของยุโรปโดยทั่วไปในสมัยนั้นอยู่แล้ว


การสื่อสารที่ผมหมายถึงนี้คือการสื่อสารด้วยจดหมายนะครับ จะตรัสภาษาอังกฤษแก่กันหรือไม่ ผมไม่ทราบ


ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทย ปัญญาชนของภูมิภาคในสมัยเดียวกัน ใช้ภาษายุโรปในการสื่อสารกันเอง หรือแม้แต่สื่อสารกับประชาชนในวงกว้างอยู่บ่อยๆ ในทุกประเทศของอุษาคเนย์ก็ว่าได้



อย่าเพิ่งนึกถึงฟิลิปปินส์หรืออินเดียนะครับ เพราะในสองประเทศนี้มีคำอธิบายที่ง่ายมาก ไม่มีภาษา "กลาง" ในทั้งสองประเทศมาก่อน อเมริกันขยายการศึกษามวลชนอย่างกว้างขวางในฟิลิปปินส์ด้วยภาษาอังกฤษ ฉะนั้น ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษา "กลาง" สำหรับผู้มีการศึกษาทั่วไป ส่วนคนอินเดียนั้น หากไม่ใช้ภาษาอังกฤษพูดกัน ก็ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรให้รู้เรื่องกันได้



แต่ในเวียดนามซึ่งมีภาษาเวียดนามอยู่แล้ว ปัญญาชนบางคนก็ยังใช้ภาษาฝรั่งเศสเขียนจดหมายถึงกัน หรือแม้แต่เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์



ในอินโดนีเซีย แม้ไม่มีภาษา "กลาง" ที่เป็นทางการ แต่คนทั่วไปก็พอฟังภาษามลายูรู้เรื่อง เพราะเป็นภาษาการค้ามาแต่โบราณ กิจการพิมพ์ก็ใช้ภาษานี้เป็นส่วนใหญ่ เพราะหวังว่าจะได้ตลาดที่กว้างหน่อย ฉะนั้น เมื่อนักชาตินิยมประกาศให้ภาษานี้เป็นภาษาแห่งชาติ ก็ไม่มีอุปสรรคอะไรกับ "บาฮาซาอินโดเนเซีย" ที่จะใช้เป็นภาษากลางนัก หากได้อำนาจรัฐและใช้ภาษานี้ในสื่อกลางอย่างกว้างขวาง



แม้กระนั้น นักชาตินิยมอินโดนีเซียเองนั้นแหละ ที่ใช้ภาษาดัตช์ในการสื่อสารกัน ทั้งเขียนทั้งพูด



ผมไม่ทราบจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร นอกจากการเกิดสำนึกเรื่องชาติ ความเป็นชาติของอินเดีย, ฟิลิปปินส์, (และในระดับหนึ่ง) อินโดนีเซีย ปรากฏขึ้นก่อนในภาษายุโรป-อเมริกา ไม่มีระบบราชการอาณานิคม ก็ไม่มีหน่วยทางการเมืองที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประเทศเหล่านี้ ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงภาษาที่ใช้ในวงวิชาการ โดยเฉพาะวิชาการเกี่ยวกับอดีตของ "ชาติ" ตนเอง



แต่ผมคิดว่าคำอธิบายนี้ใช้ไม่ได้กับกรณีของเวียดนามและไทย ยกเว้นเรื่องเดียวคือภาษาวิชาการสมัยใหม่ที่นำมาจากตะวันตก ผมขอพูดเฉพาะกรณีไทยซึ่งบังเอิญคิดว่าตัวรู้จักมากหน่อย



ภาษาไทยกลางถูกสถาปนาเป็นภาษาแห่งชาติด้วยธุรกิจการพิมพ์ และอำนาจของรัฐบาลกรุงเทพฯ มานานแล้ว อย่างน้อยก็นับตั้งแต่ ร.4 เป็นต้นมา ระบบราชการแบบใหม่ก็เลือกจะใช้ภาษาไทยกรุงเทพฯ เป็นภาษาแห่งการบริหาร



(ผมขออนุญาตนอกเรื่องตรงนี้หน่อย ในปัจจุบันเรามักรู้สึกไปว่า การบริหารรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น ต้องมีภาษากลางอยู่อันเดียว แต่ที่จริงแล้วไม่จำเป็นเลย จักรวรรดิจีนมีอำนาจแผ่ไพศาลครอบคลุมคนที่ไม่ได้พูดจีนเยอะแยะ รัฐบาลจักรพรรดิจึงตั้งสำนักแปลและสอนภาษาต่างประเทศขึ้นมาตั้งแต่โบราณ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือบริหารจักรวรรดิที่มีหลายภาษา โดยฝ่ายผู้ปกครองกลายเป็น multi-lingual เสียเอง เช่นเดียวกับรัฐบาลอยุธยาก็แปลพระราชสาส์นต่างประเทศ หรือศุภอักษรจากประเทศราชเป็นภาษาไทยเอง)



ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดในการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันเองในหมู่ชนชั้นนำนักเรียนนอก



จะว่าเจ้านายเหล่านั้นเสด็จออกไปศึกษาในยุโรปเมื่อยังทรงพระเยาว์ จึงทำให้ไม่ถนัดใช้ภาษาไทย ก็ดูไม่น่าเป็นไปได้ เพราะ ร.5 ทรงระวังเรื่องนี้มาก นอกจากทรงส่งขุนนางไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อสอนภาษาไทยแก่พระเจ้าลูกยาเธอแล้ว ยังบังคับให้พระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์ ทรงพระอักษรมาถวายด้วยภาษาไทยอยู่เป็นประจำ เพื่อทรงตรวจตราว่ายังใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องและดีอยู่หรือไม่ ในบรรดาเจ้านายเหล่านี้บางพระองค์ ทรงสนพระทัยภาษาไทยจนถึงได้ชื่อว่าเป็น "กวี" ในภาษาไทยอยู่หลายพระองค์



เจ้านายที่เสด็จไปศึกษาต่อต่างประเทศจนลืมภาษาไทยนั้น เป็นเจ้านายรุ่นหลังลงมาทั้งนั้น และเกิดขึ้นหลัง 2475



ด้วยเหตุดังนั้น ผมจึงอยากเดาว่า ความคุ้นเคยที่เจ้านายเหล่านี้ได้รับมาจากเมืองฝรั่ง คงไม่ใช่ภาษาอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เท่าเทียมกัน อย่างน้อยก็เท่าเทียมในหมู่เจ้านายชั้นสูงด้วยกัน



ราชาศัพท์ไทยนั้น แสดงความเหลื่อมล้ำด้านสถานภาพที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เจ้านายที่เสด็จไปยุโรปนั้น มีทั้งที่กำเนิดเป็นพระองค์เจ้า (พระมารดาเป็นสามัญชน หรือเป็นเจ้าที่ดำรงพระยศไม่ถึงพระองค์เจ้า) หรือต่ำกว่านั้น และเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ภาษาไทยและราชาศัพท์ไทย จะขีดเส้นใต้ความต่างสถานภาพนี้อยู่ตลอดเวลา



ใครที่อ่านสาส์นสมเด็จก็จะสังเกตเห็นความละเอียดอ่อนตรงนี้ได้ดี สมเด็จฯ กรมพระยานริศฯ ท่านประสูติเป็นเจ้าฟ้า เพราะพระมารดาของท่านเป็นพระองค์เจ้า ส่วนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ท่านประสูติเป็นพระองค์เจ้า เพราะพระมารดาเป็นสามัญชน ในสาส์นสมเด็จทั้งสองพระองค์ทรงใช้สรรพนามต่างกัน และใช้คำลงท้ายพระลิขิตต่างกันตลอด



ผมไม่ทราบว่า เจ้านายที่คุ้นเคยกับภาษาไทยอย่างสมเด็จทั้งสองพระองค์ จะรู้สึกกับความต่างนี้แหลมคมสักเพียงไร แต่เจ้านายที่อยู่ต่างประเทศมาแต่เล็ก คงรู้สึกมากเสียจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเสมอภาคได้ยากกระมัง



ภาษาอังกฤษข้ามความเหลื่อมล้ำนี้ไปในทันที และทำให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องสำคัญๆ ได้อย่างเสมอภาคมากขึ้น


การเลี่ยงราชาศัพท์มาสู่ภาษาอังกฤษนั้นเหมาะเจาะดีเสียด้วย ไม่ใช่เพราะภาษาอังกฤษแสดงความแตกต่างทางสถานภาพระหว่างผู้พูดผู้ฟังน้อยเท่านั้น เพราะยังมีภาษาอื่นๆ อีกมากที่แสดงความแตกต่างทางสถานภาพน้อยเหมือนกัน และไม่ใช่เพราะท่านคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว



ในตัวของมันเอง ภาษาอังกฤษในราชสำนักไทยยังเป็น "ภาษาสูง" มานาน บัตรอวยพร, บัตรเชิญ, เมนูอาหารในงานเลี้ยง ฯลฯ ของราชสำนักนับตั้งแต่ ร.4 เป็นต้นมาล้วนเป็นภาษาอังกฤษ ใน ร.5 แม้ไม่ถึงกับใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกันในหมู่เจ้านาย แต่ก็มีสำนวนไทยใหม่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งใช้กันแพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูง ล้วนเป็นคำที่มีต้นกำเนิดจากภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้ใช้แพร่หลายในสื่อสิ่งพิมพ์อื่นๆ แปลว่าเป็นสำนวนที่ใช้กันจำกัดเฉพาะในหมู่คนของราชสำนักเท่านั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาแห่งความเสมอภาค และเป็นภาษาแห่งความไม่เสมอภาคไปพร้อมกัน

 


เสมอภาคในหมู่ชนชั้นสูงด้วยกัน แต่ไม่เสมอภาคกับคนอื่นๆ ที่อยู่นอกแวดวง




คติเรื่อง "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" นั้น ไม่ได้เป็นของไทยแห่งเดียว ความแตกต่างด้านรูปลักษณ์ภายนอกระหว่างคนต่างสถานภาพนั้น พบได้ในทุกสังคมที่ซับซ้อนพอจะจำแนกคนออกเป็นหลายสถานภาพ ภาษาเป็นส่วนหนึ่งที่มักใช้เป็นเครื่องจำแนกที่ชัดเจน


ภาษาไทยที่ชาวบ้านภาคกลางใช้นั้น แม้เป็นภาษาไทยเดียวกับภาษาผู้ดีไทย แต่ไม่เหมือนกันในด้านศัพท์แสงเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ต่างจนทำให้เห็น "กำพืด" ของกันและกันได้ง่ายๆ ราชสำนักในสมัย ร.4 ละเอียดลออพอที่จะกำหนดด้วยซ้ำว่าคำใดจะใช้กราบบังคมทูลอย่างไร จึงไม่น่าเกลียด เช่น ผักบุ้ง-ผักทอดยอด, ปลาสลิด-ปลาใบไม้ ฯลฯ... ไม่ใช่แค่มึงมาพาโวยตามธรรมดาเท่านั้น



ยิ่งเมื่อคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ขยายตัวด้วยการศึกษาที่สูงขึ้น ความต่างด้านภาษาระหว่างราชสำนักและชาวบ้านกรุงเทพฯ ก็ยิ่งน้อยลง เพราะเสมียนฝรั่งและข้าราชการชั้นผู้น้อยก็สามารถพูดภาษา "ผู้ดี" ได้คล่องเหมือนกัน การเลี่ยงให้เกิดความต่างด้วยสำนวนใหม่ที่มาจากคำอังกฤษ จึงมีความสำคัญไม่เฉพาะแต่ด้านภาษา แต่ทางด้านสังคมด้วย



เขาว่ากันว่า ราชสำนักในต้นอยุธยานั้นใช้ภาษาเขมรสื่อสารกัน ฉะนั้น การปนและต่อมาก็แปรเป็นภาษาอังกฤษ จึงไม่ใช่ของใหม่ในราชสำนักไทย เราเคยใช้ภาษา-ต่างประเทศเป็น "ภาษาสูง" ของราชสำนักมาก่อน



ปรากฏการณ์ภาษาสูง ทั้งในเมืองไทยและในประเทศอื่นของภูมิภาคนี้มายุติลง เร็วบ้างช้าบ้าง หลังการปฏิวัติชาตินิยมสำเร็จเสร็จสิ้นลง



ในเมืองไทยคือหลัง 2475 ชนชั้นสูงที่ไปเรียนต่างประเทศแต่เล็กๆ บางคน พูดไทยไม่ชัด แต่ไม่ใช่เพราะต้องการรักษา "ภาษาสูง" ไว้กับภาษาฝรั่ง แต่ไม่ชัดเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ และปัญญาชนไทยใช้ภาษาไทยในการสื่อสารทุกระดับ



เหตุผลสำคัญของความเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือ การเมืองของรัฐชาติแตกต่างออกไปจากรัฐอาณานิคม หรือรัฐราชสมบัติ ภาษาแห่งชาติมีความสำคัญเสียจนกระทั่ง ชนชั้นนำไม่สามารถปลีกตัวจากมันไปได้ แม้ในการสื่อสารส่วนตัว

 

ที่มา www.matichon.co.th

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: