เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 พฤษภาคม ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาหัวข้อ “วิพากษ์เวทีน้ำอาเซียน : 3.5 แสนล้านคนไทยได้อะไร” โดยผู้ร่วมเสวนาคือ นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานสมัชชาองค์กรสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ นายประสาร มฤคพิทักษ์ และนายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ก่อตั้งไทยฟลัด โดยมี น.ส.ชุติมา นุ่นมัน ดำเนินรายการ
นายปรเมศวร์กล่าวถึงการเข้าร่วมเวทีการประชุมน้ำที่ผ่านมาว่า ตนไปดูทั้งส่วนนิทรรศการและเวิร์คช็อป แบ่งเป็นห้องย่อยมากหลายห้อง แต่ละห้องให้ออแกไนเซอร์จัดการ โดยรัฐบาลไม่เกี่ยวข้อง วิธีการเลือกการเข้าฟัง จำเป็นต้องเลือกเรื่องที่เป็นหลักก่อน
นอกจากนี้การประชุมในครั้งนี้ เนื้อหาอยู่ภายใต้มุมมอง 5 มุม โดยมองปัญหาความมั่นคงด้านน้ำ เรื่องน้ำท่วมเป็นเพียงหัวข้อย่อยใน 5 มุมมองเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องน้ำใช้ ทำอย่างไรให้มีน้ำใช้ในภาคอุตสาหกรรม เกษตร น้ำที่ใช้ผลิตพลังงาน ดังนี้ 1.น้ำที่ใช้ในภาคเศรษฐกิจ เช่น ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร การผลิตพลังงาน 2.ต้องมีน้ำใช้ในครัวเรือนมีน้ำสะอาด ต่อเป็นท่อถึงบ้าน 3.ความมั่นคงของน้ำในเขตเมือง การเติบโตมากขึ้นของประชาชน ชนชั้นกลางต้องการใช้น้ำมาก 4.การรักษาสิ่งแวดล้อม 5.การปรับตัวของประชาชน
นายปรเมศวร์กล่าวต่อว่า ทำอย่างไรให้ประชากรในประเทศไทยปรับตัวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะการใช้เงิน 3 แสนล้าน กับโครงสร้างขนาดใหญ่ แต่ไม่มีงบประมาณรองรับชีวิตคนที่จะเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลไม่ได้ตอบโจทย์ 5 เรื่องนี้ ซึ่งตนรู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีเริ่มมองเห็นถึงปัญหาเมื่อมาสรุปเรื่องเหล่านี้ให้คณะรัฐมนตรีฟังว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนมีน้ำใช้ในอนาคต เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น มีปัญหาโลกร้อนมากขึ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้มองในองค์รวมของความต้องการอาหาร น้ำ พลังงาน ต้องมีพื้นที่สำหรับการปลูกพืชสำหรับพลังงาน ใช้พื้นที่มากขึ้น ใช้น้ำมากขึ้น ต้องนำน้ำมาเป็นตัวตั้ง เพราะโลกเป็นระบบปิดปริมาณน้ำมีเท่าเดิม และประชากรเพิ่มมากขึ้น
ผู้ดำเนินรายการถามว่า สิ่งที่พูดคุยในที่ประชุม สามารถนำไปใช้ได้จริงหรือไม่ นายปรเมศวร์กล่าวว่า สามารถนำไปใช้ได้จริง แต่ไทยเสียโอกาสในการประชุมมากมาย ทั้งเรื่องการประชุมในประเด็นต่าง ๆ ไม่ได้นำไปเสนอต่อนายกฯ ซึ่งหากบอกว่าเรื่องเหล่านี้จะนำเสนอต่อนายกฯ จะทำให้ข้าราชการให้ความสนใจกับประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้น หรือการจัดห้องนิทรรศการ แต่ละกรมจัดบอร์ดทำแบบแยกส่วนกัน ในขณะที่บริษัทรับเหมาของต่างประเทศ มีการจัดบูธและนำเสนออย่างน่าสนใจ
เมื่อถามถึงการที่เอ็นจีโอไม่ได้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการเสียโอกาสหรือไม่ นายหาญณรงค์กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับกรมน้ำมาตั้งแต่ปี 2553 ถ้าถามว่าการปิดกั้นบุคคลที่จะเข้าร่วมกับการลงทะเบียน 9,000 บาท ประกอบด้วย ค่าเอกสาร ค่าอาหารว่าง (ไม่ได้แจกเอกสารการประชุม แจกแฟลชไดรฟ์ และจานรองแก้ว) เมื่อเปลี่ยนจากกรมน้ำมาเป็นรองนายกฯ รับผิดชอบ ทำให้รูปแบบการจัดประชุมเปลี่ยนแปลงไป เหมือนการโรดโชว์ของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในปี 2554
นายหาญณรงค์เสนอว่า ควรมีการจัดเวทีคู่ขนาน โดยให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ และควรจะมีการสร้างระบบฐานข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกอื่น เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เช่น มีการใช้ดาวเทียมร่วมกัน มีการวางแผนร่วมกัน ใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน เป็นต้น อีกทั้งรัฐบาลควรชี้แจงโมดูลต่อชาวบ้าน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย
อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมประเทศต่าง ๆ มีการลงนามในปฏิญญา 13 ข้อ คือ
1.ในประเด็นด้านน้ำและสุขาภิบาลในวาระแห่งชาติของแต่ละประเทศ และให้มีการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมในภาคน้ำและสุขาภิบาล
2.ส่งเสริมการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเป็นส่วนหนึ่งของวาระการพัฒนาภายหลังปี 2558 ของสหประชาชาติ เพื่อรับมือกับความท้าทายในการลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน อันเกิดจากน้ำท่วม ภัยแล้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ
3.ควรเร่งรัดกระบวนการนำแผนการบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามความเหมาะสม ในขณะที่สนับสนุนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและการจัดการน้ำที่ดี นาย
4.เราจะยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศในการแบ่งปัน แลกเปลี่ยน และเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยี ตลอดจนแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำเชิงบูรณาการ
5.ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ รวมถึงในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และการเกษตร ตลอดจนการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
6.เราจะปรับปรุงระบบชลประทานในภาคการเกษตรที่มีการใช้น้ำปริมาณมากให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
7.เราจะเพิ่มการถ่ายโอนเทคโนโลยี เสริมสร้างขีดความสามารถ และแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อการใช้น้ำอย่างเหมาะสม และลดผลกระทบจากความเสี่ยงและภัยพิบัติด้านน้ำต่อการดำรงชีพของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
8.เราจะให้ลำดับความสำคัญต่อการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาระบบการลดภัยพิบัติและการบรรเทาทุกข์ ซึ่งรวมถึงการเตือนภัยล่วงหน้า และการสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาวะแวดล้อม ด้วยการพัฒนาขีดความสามารถ ธรรมาภิบาลที่ตอบสนองต่อทุกภาคส่วน และการบริหารการเงินเชิงสร้างสรรค์
9.เราจะส่งเสริมการออกนโยบายและมาตรการเพื่อลดมลพิษด้านน้ำ การต่อสู้ การแปรสภาพเป็นทะเลทราย การปรับปรุงคุณภาพน้ำ และการปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ ตลอดจนแหล่งธรรมชาติของน้ำจืดซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์และธรรมชาติ
10.เราจะส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความเป็นหุ้นส่วนที่ดีขึ้นตามความเหมาะสมระหว่างภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในการจัดการ การป้องกัน และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำที่สมเหตุสมผล รวมถึงการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
11.เราจะส่งเสริมให้มีการพิจารณาประเด็นด้านน้ำในการหารือเรื่องวาระการพัฒนาภายหลังปี 2558 ของสหประชาชาติตามความเหมาะสม
12.เราจะขอให้องค์กรหารือเรื่องน้ำแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระดมกำลังในการสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะข้างต้น และจะส่งเสริมให้มีการพิจารณานโยบายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามความเหมาะสมในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน และการขจัดความยากจน รวมทั้งการจัดตั้งระบบข้อมูลด้านน้ำของภูมิภาคเอเชีย
13.เราขอขอบคุณรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยด้วยความจริงใจในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 2 และส่งเสริมให้ทุกประเทศเพิ่มความพยายามในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะข้างต้นด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของเรา
จากนั้น นายหาญณรงค์ได้วิพากษ์ปฏิญญาทั้ง 13 ข้อว่า เรื่องการจัดการสรรทรัพยากรที่เหมาะสมในระดับภูมิภาค ไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำในระดับภูมิภาค ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ไทยควรจะจัดตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขึ้นอย่างจริงจัง อีกทั้งปฏิญญาควรมีการจัดการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และการบรรจุกระบวนการนำแผนการบริหารจัดการน้ำเขิงบูรณาการน้ำไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ เป็นการตีกรอบมากเกินไปในบางประเทศอาจจะไม่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯก็ได้
นอกจากนี้ ไทยควรมีการบริหารจัดการแบบสัมพันธ์กันทุกภาคส่วนและครอบคลุม เพราะในปัจจุบันการจัดการน้ำในประเทศไทยยังอยู่ภายใต้อำนาจของคนเพียงกลุ่มเดียว และควรมีการสร้างความร่วมมือในเรื่องการบริหารจัดการน้ำและร่วมกับนานาประเทศตั้งศูนย์ข้อมูลความรู้ขึ้น
ในตอนท้ายนายหาญณรงค์กล่าวว่า ทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือในทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรมและช่วยกันแก้ไขปัญหา รัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับภาคประชาชนมากเท่าที่ควร ควรให้ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งความรู้ในเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น อีกทั้งผู้เข้าร่วมประชุมควรเตรียมข้อมูลความรู้ก่อนการเข้าร่วมประชุม เพื่อให้การประชุมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ส่วนการจัดการงบประมาณ 3.5 แสนล้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบริหารจัดการน้ำ นายปรเมศวร์ กล่าวว่า ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นน้ำ การลงทุนที่ปลายน้ำไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ควรให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการดูแลต้นน้ำ เพื่อให้ต้นน้ำมีความอุดมสมบูรณ์ มากกว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่นายหาญณรงค์ มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับนายปรเมศวร์ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลต้นน้ำมากกว่าการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการระบบนิเวศ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการบริหารป่าอย่างยั่งยืน และกำหนดพื้นที่รับน้ำตามแผนของไจก้าอีกด้วย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ