เป็นความเชื่อและค่านิยมที่ยาวนานในสังคมไทยตลอดมาว่า การตั้งวงเล่นการพนันในการจัดงานศพที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะนอกจากจะเป็นการใช้เวลาในระหว่างการเฝ้าหน้าศพไม่ให้เงียบเหงาเกินไปแล้ว การตั้งวงพนันในศาลาวัด หรือ หน้าศพ ยังจะเป็นการช่วยให้เพื่อนบ้านมาร่วมงานจำนวนมากอีกด้วย
ในการเสวนาเรื่อง “พนันในสังคมภาคเหนือ” ภายในการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อน เรื่อง พนันในสังคมภาคเหนือ” ที่โรงเรียนเชียงใหม่ แกรนด์วิว จัดโดย ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มูลนิธิสดศรี-สฤดิ์วงศ์ และสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ได้มีการกล่าวถึงประเด็นการเล่นการพนันในงานศพนี้เช่นเดียวกัน โดยเป็นการบอกเล่าเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ภาคเหนือถึงประเด็นปัญหาจากการได้รับผลกระทบจากการเล่นพนันหน้าศพนั่นเอง
ภาคี วรรณสัก ผู้นำสตรีชุมชนบ้านทุ่งยาว อ.เมือง จ.ลำพูน ในฐานะที่ปรึกษากลุ่มแม่บ้านทุ่งยาว ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นผู้นำเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชน เป็นผู้เปิดประเด็นนี้ในเวทีเป็นคนแรก โดยกล่าวว่า ในอดีตชาวบ้านเชื่อว่า การตั้งวงพนันในการจัดงานศพเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะทำให้มีคนมาช่วยงานมากมาย แต่หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดแล้วจะพบว่า การพนันเหล่านี้ล้วนสร้างผลกระทบรุนแรงให้กับครอบครัวเพื่อนบ้าน ต่อเนื่องไปถึงชุมชนที่ใหญ่ขึ้นทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเห็นว่า “การเล่นไฮโล” ที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งในวงพนันหน้าศพที่ถือเป็นการพนันที่รุนแรงมาก ทำให้ชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัว ล่มจมไปตามๆ กันมาแล้ว
ภาคีกล่าวต่อว่า เธอรู้สึกสงสารกลุ่มแม่บ้านที่มีพ่อบ้านติดการพนันเป็นอย่างมาก เพราะหลายคนมักจะอ้างว่าจะต้องไปช่วยงานศพ ไม่กลับบ้าน แต่ที่จริงแล้วคือไปเล่นการพนัน โดยเฉพาะ “ไฮโล” ที่ถือว่าเป็นการพนันยอดนิยม และทำให้เป็นปัญหามากที่สุด รุนแรงถึงขนาดที่ครอบครัวต้องแตกแยกกัน เพราะพ่อแม่ทะเลาะ ด้วยปัญหาไม่มีเงินในบ้าน ลูกไม่มีเงินไปโรงเรียน
“เพราะสิ่งเหล่านี้เราเห็นแล้วมันสลดใจ มันแย่มาก คนในชุมชนเชื่อว่าถ้าไม่มีวงพนันจะไม่มีคนไปช่วยงานแต่ไปแล้วคนก็กลับมาเดือดร้อนกันหมดเพราะไปเล่นไฮโล” ป้าภาคีกล่าว
และด้วยการมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากค่านิยมโบราณที่ผิด ๆ เหล่านี้ ทำให้ ภาคี และ ลูกชายซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ จึงตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวรณรงค์ไม่ให้เกิดวงพนันในงานศพภายในหมู่บ้าน โดยการออกกฎเด็ดขาด “ห้ามมีการเล่นพนันในงานศพ เด็ดขาด” เพราะหากพบว่าเกิดขึ้นที่ใด จะมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด
การรณรงค์เชิงบังคับด้วยกฎหมายครั้งนั้น แม้จะต้องทนต่อแรงกดดันจากความไม่เข้าใจของชาวบ้านในระยะแรก มีการตอบโต้ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ ข่มขู่ หรือทำลายทรัพย์สิน ป้ายรณรงค์ต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การรณรงค์ที่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า แม้ไม่มีวงพนันในงานศพ ก็ยังมีคนมาร่วมงานศพไม่ต่างกัน ที่สำคัญแม่บ้านก็ไม่เดือดร้อนจากการที่พ่อบ้านนำเงินมาเล่นพนันแทนการนำไปช่วยงานศพ ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
จนทุกวันนี้ป้าภาคี บอกว่า ที่บ้านทุ่งยาว ไม่มีการเล่นพนันในงานศพในหมู่บ้านอีกแล้ว แต่กระนั้นก็ตามการเลิกโดยสิ้นเชิง คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะแม้จะไม่มีสถานที่ให้เล่นภายในหมู่บ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะเดินออกจากบ้านไป “งานศพ” ในหมู่บ้านอื่น เป้าหมายคือไปร่วมวง “ไฮโล” ซึ่งกลุ่มนี้คงต้องยอมรับว่าแก้ไม่ได้
“ในหมู่บ้านเราไม่มี ห้ามเล่น เขาก็ออกไปเล่นที่อื่น เพราะหมู่บ้านอื่นๆ รอบๆ เขายังไม่เลิก ดังนั้นจึงห้ามไม่ได้ มันก็เป็นแบบนี้ แต่อย่างน้อยเราก็ลดจำนวนการเล่นไฮโลในหมู่บ้านเราได้ไปบ้าง เพราะมันรุนแรงจริงๆ น่าสงสารครอบครัวที่พ่อบ้านติด ล่มจมกันทั้งนั้น บ้านหาย ที่ดินหายไปหมด” ป้าภาคีระบุ
ในประเด็นเดียวกัน สำหรับอนันต์ แก้วบุญ ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.ชมพู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เผยประสบการณ์ของตัวเองกับความพยายามในการที่จะรณรงค์ไม่ให้เกิดการพนันในพื้นที่เช่นเดียวกันว่า นอกจากการที่จะต้องต่อสู้กับค่านิยมเก่าๆ ว่าจะต้องมีการเล่นพนันในงานมหรสต่างๆ ในหมู่บ้านแล้ว ปัญหาสำคัญคือการต่อสู้กับแนวคิดของคนของรัฐเองด้วย
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในพื้นที่มาคุยว่าเรื่องการเล่นไฮโลในงานศพ เขาบอกว่าเฮ้ยปล่อยเล่นไปเถอะ ผมก็ตอบไปว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอคุณกับคณะกรรมการหมู่บ้านก่อน ว่าท่านขอมา และบอกเขาว่าจะขอเอ่ยชื่อท่านไปเลย เขาถึงเงียบและบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง หรือ บางครั้งก็ได้รับการร้องขอจาก กำนันในพื้นที่บอกว่าให้เล่นไปเถอะ เพราะมันมีส่วนแบ่งตรงนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับการต่อสู้” ผู้ใหญ่อนันต์กล่าว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันแม้จะยังไม่สามารถที่จะทำให้การพนันหายไปได้เด็ดขาด แต่สำหรับในพื้นที่หมู่ 4 ต.ชมพู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ พื้นที่รับผิดชอบของ ผู้ใหญ่อนันต์ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ก็สามารถที่จะลดจำนวนการเล่นการพนันในงานมหรศสพ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ลงไปได้จนกลายเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ได้
“จริง ๆ แล้ว เจ้าภาพเองก็ไม่ต้องการให้มีกิจกรรมเหล่านี้ เพราะต้องใช้เงินทุนที่ไม่จำเป็น แต่ไม่มีคนแถวหน้าที่จะออกมาพูด ดังนั้นในเมื่อรับรับผิดชอบในหน้าที่นี้และอยากให้สังคม และชุมชนดีขึ้น จึงเป็นหน้าที่และทุกคนก็ตอบรับได้อย่างดี แสดงว่ามีคนเห็นด้วยอยู่มาก ถ้าหากสังคมช่วยกันปัญหาน่าจะลดลงได้” ผู้ใหญ่อนันตั้งความหวัง
สำหรับปัญหาที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เคยประสบนั้น ผู้ใหญ่อนันต์บอกว่า ขณะนี้ไม่มีใครที่จะกล้ากระทำผิดกฎหมายแล้ว และเขาก็ไม่กลัว เพราะหากใครทำผิดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง
จากประสบการณ์การต่อสู้ของทั้งป้าภาคี และผู้ใหญ่อนันต์ ถือเป็น 2 ตัวอย่างความสำเร็จที่สำคัญของการต่อสู้ เพื่อลบค่านิยมผิดๆ ที่แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานาน ด้วยขนบประเพณี และความเชื่อในอดีต แต่หากชุมชนให้ความสำคัญ และมุ่งมองไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะกำจัด การพนัน ออกไปจากชุมชนได้เหมือนกัน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ