สำนักงานคณะกรรมการปฎิรูปกฎหมาย (คปก.) จัดอภิปรายเรื่อง การปฎิรูปกฎหมาย : การสร้างความเป็นธรรมและขจัดความเหลื่อมล้ำ ที่โรงแรมรามาการ์เดน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและตัวแทนจากภาคประชาชน ได้แก่ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ศาสตราจารย์วิทิต มันตาภรณ์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด นายไพโรจน์ พลเพชร กรรมการปฎิรูปกฎหมาย และศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการปฎิรูปกฎหมาย ผู้ดำเนินรายการ
ประชาชนมีส่วนร่วม เข้าถึงทรัพยากร เข้าถึงความยุติธรรม
นายบวรศักดิ์กล่าวถึงงานวิจัยในภาพรวมที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมของสำนักงานการปฎิรูปกฎหมายว่า เป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นต่อการปฎิรูปกฎหมายต่อไปในอนาคต แต่ยังขาดฐานข้อมูลที่ชัดเจนและง่ายต่อการค้นคว้าว่า การปฎิรูปกฎหมาย เมื่อมีงานวิจัยแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือฐานข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก โดยคณะกรรมการปฎิรูปกฎหมายน่าจะทำร่วมกับสถาบันวิจัยหลักของประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานสนับสนุนกองทุนการวิจัย (สกว.) หรือสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีการวิจัยในระดับมหาวิทยาลัย คปก.ควรนำมาเป็นฐานข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในงานวิจัยต่อไป อีกทั้งบุคคลภายนอกยังสามารถนำฐานข้อมูลนี้ไปใช้ได้เช่นกัน
นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ไม่ควรให้ความสำคัญกับความเห็นทางกฎหมายมากเกินไป จนส่งผลกระทบกับการร่างกฎหมายที่เป็นเชิงการปฎิรูป ความสำเร็จจากการสร้างความเป็นธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำต้องมาจากความรู้พี้นฐาน ซึ่งในปัจจุบันก็มีความรู้พื้นฐานนี้แล้ว แต่ยังไม่มากพอและยังไม่ปรากฎเป็นรูปธรรม ยังไม่เห็นแผนแม่บทของเรื่องนี้เท่าที่ควร นำไปสู่การเคลื่อนไหวทางสังคม จนกระทั่งนำไปสู่การอาศัยอำนาจเพื่อออกเป็นกฎหมายในที่สุด ท้ายที่สุดแล้วจำเป็นต้องออกเป็นร่างกฎหมายให้เป็นรูปธรรม
“คปก.ต้องปฏิบัติเพื่อให้ประชาชนที่เข้าไม่ถึงสิทธิทางกฎหมายได้รับประโยชน์ รัฐต้องอุ้มชูคนที่อ่อนแอ ส่งเสริมให้คนจน คนด้อยโอกาสให้มีโอกาสมากขึ้น อีกทั้งการเข้าถึงความยุติธรรมและเข้าถึงทรัพยากรในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมและทรัพยากรได้” นายบวรศักดิ์กล่าว
การเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การปฎิรูปที่ดี
ด้านนายวิทิตกล่าวถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปฎิรูปกฎหมาย โดยกล่าวแนะนำต่อคณะกรรมการปฎิรูปกฎหมายว่า คปก.น่าจะมีบริบทคุยมากกว่าเขียน คือการรับฟัง และเปลี่ยนเป็นวิธีเขียนมากกว่าคุย คือการเสนอให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและเข้ามามีส่วนร่วมได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งนายวิทิตมีความเห็นเรื่องเนื้อหาในแผนการปฎิรูปกฎหมายตั้งแต่ปี2555-2558 มีเนื้อหาที่ดีแต่ยังไม่ครอบคลุม เช่นด้านการกระจายอำนาจไม่ใช่เพียงให้ความสำคัญต่อรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น โดยเฉพาะการกระจายรายได้สู่ภาคใต้ด้วย
ด้านสวัสดิการสังคม นายวิทิตได้ฝากคำถามชวนคิดว่า ในเรื่องสิทธิมนุษยชน สวัสดิการสังคมที่มีอยู่ เอื้อเฟื้อต่อประชาชนทุกคนในประเทศไทยหรือไม่ หรือเอื้อเฟื้อต่อคนไทยเท่านั้น หลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานคือต้องเอื้อต่อทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สวัสดิการสังคม เอื้อต่อแรงงานต่างด้าวมากเพียงใด
แนะเก็บภาษีที่ดินแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดช่องว่าง
นายวิทิตได้ให้ข้อเสนอแนะในเรื่องการกระจายรายได้ สร้างความเที่ยงธรรม โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทางเลือกในการกระจายรายได้ อาจทำได้โดยวิธีด้านภาษีศุลกากร การเก็บภาษีทางอ้อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด อาจจะทำโดยการเริ่มเก็บภาษีที่ดินเพิ่มทีละนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ด้านการประกันสังคม ด้านครอบครัว และการให้โดยตรงจากรัฐบาล เรื่องเด็กและสตรีรัฐบาลควรให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น โดยดูจากสถานการณ์ทางการเมือง การดำเนินการโดยวิธีทางอ้อมน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการช่วยกันกระจายรายได้ อย่างเรื่องภาษีที่ดิน จะค่อย ๆ ลดความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ที่ก่อให้เกิดการขาดเสถียรภาพทางสังคม
ในตอนท้าย นายวิทิตได้เสนอแนวโน้มในอนาคตให้กับคปก.ว่า ทำวิจัยเสนอข้อเสนอโดยไม่เป็นกฎหมาย เสนอองค์ประกอบใหม่ของกฎหมายใหม่ เสนอตัวกฎหมายใหม่ หรือเน้นการเชื่อมกับประชาสังคม โดยเฉพาะการทำประชาวิจารณ์ สิ่งที่สำคัญ คือ ถ้าพูดคุยปรึกษาแล้วในกรณีสุดท้ายคณะกรรมการปฎิรูปกฎหมายต้องมีผลงานที่เป็นรูปธรรมอย่างถาวรและต้องมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลง โดยต้องสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคมและรัฐ การเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่ดีขึ้น
‘จินตนา’ชี้การมีส่วนร่วมไม่เคยเป็นจริง
ขณะที่ นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายหรือคปก.ไว้ 3 ด้านด้วยกัน คือ
1.ด้านการมีส่วนร่วมประชาชน เรื่องนี้มีการพูดกันอย่างยาวนาน แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง มีการเสนอเรื่องต่างๆไปยังรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ไม่รับฟังและปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แม้ว่าในรัฐธรรมมนูญจะเอื้อประโยชน์ให้กับชาวบ้านแล้วก็ตาม แต่ในภาคปฏิบัติระดับล่างลงมา ยังไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
2.ด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ได้นำประสบการณ์ที่ถูกกกล่าวหามาเป็นบทเรียนในการที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยยกตัวอย่าง ชาวบ้านที่ถูกหน่วยงานท้องถิ่นฟ้องร้องเรื่องการบุกรุกที่ดิน ศาลมีคำสั่งตัดสินจำคุก 6 เดือน ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว และมีคำสั่งให้ต้องโทษจำคุกทันทีขณะที่ยื่นเรื่องอุทธรณ์ ท้ายที่สุดแล้วชาวบ้านต้องยื่นคำร้องไม่ขออุทธรณ์ต่อชั้นศาล เนื่องจากการยื่นอุทธรณ์อาจกินเวลายาวนานถึง 2 ปี ซึ่งเป็นผลให้การจำคุกยาวนานออกไปเกินกว่าคำสั่งศาลที่ตัดสินจำคุก 6 เดือน จะเห็นได้ว่าชาวบ้านยังไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการยุติธรรมยังเข้าไปไม่ถึงรากหญ้า
แฉกฎหมายผังเมืองเปิดช่องจนท.รัฐเปลี่ยนสีโซน
3.ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เชื่อว่าคปก.มีการผลักดันอย่างเต็มที่ ในเรื่องการจัดประชุมองค์กรอิสระ การสนทนา การเข้าชื่อต่าง ๆ ให้รัฐบาลได้ฟังอย่างเต็มที่ แต่กฎหมายบางตัวมีความล้าสมัย ควรมีการปรับปรุง และมีกฎหมายหลายฉบับที่มีผลบังคับใช้แล้ว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ยกตัวอย่าง กฎหมายผังเมือง การจัดการผังเมืองนั้นเป็นปัญหา ซึ่งกฎหมายผังเมืองระบุไว้ว่า ผู้เป็นเจ้าของที่ดินไม่สามารถขอเปลี่ยนสีผังได้ แต่ในพื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีเอกชนกว้านซื้อที่ดินจำนวน 2,000 ไร่ และยื่นเรื่องเปลี่ยนสีผังเมืองในพื้นที่ดังกล่าว สามารถทำได้ ชาวบ้านจึงนำโฉนดที่ดินของตนเองมารวมกันได้กว่าหมื่นไร่ ยื่นเสนอขอเปลี่ยนสีผังเมืองกลับไปสู่สีเขียว แต่เมื่อยื่นเรื่องเข้าไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนผังเมืองได้ รัฐมองว่า หากมีการยื่นเรื่องขอคัดค้านของชาวบ้านการจัดการผังเมืองจะไม่เสร็จเรียบร้อย ซึ่งขณะนี้กว่า 3 ปีแล้วที่ชาวบ้านยื่นเรื่องขอคัดค้านสีผังเมืองในพื้นที่ของตน
นางจินตนากล่าวต่อว่า ผู้ที่กำหนดสีของพื้นที่ผังเมืองนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งรัฐมนตรี ผู้ตรวจการกระทรวง ทหาร แต่ชาวบ้านผู้ใช้พื้นที่กลับไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดสีผังเมืองในพื้นที่ของตนเอง
นอกจากนี้ยังกล่าวถึง พื้นที่สาธารณะในจ.ประจวบคีรีขันธ์กว่า 300 ไร่ ซึ่งชาวบ้านร่วมตัวกันขอให้เป็นพื้นที่สีเขียว แต่เอกชนคัดค้านโดยอ้างถึงผังเมืองเดิมที่กำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นสีม่วงหรือเขตอุตสาหกรรม เห็นได้ว่าการปรับปรุงผังเมืองหรือการจัดการผังเมืองไม่เอื้อประโยชน์ให้กับภาคประชาชน
แนะปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องรัฐธรรมนูญ
ท้ายที่สุดนางจินตรากล่าวว่า การตรากฎหมายไม่ได้อ้างอิงรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีส่วนร่วม การจัดการทรัพยากร หรือกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ และคปก.ไม่อาจเข้าถึงชาวบ้านได้ทั้งหมด ด้วยข้อจำกัดเรื่องของความรู้ของชาวบ้าน
ขณะที่ นายไพโรจน์ พลเพชร กรรมการปฎิรูปกฎหมาย กล่าวว่า เป็นครั้งแรกของสังคมไทยที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่า มีความเหลื่อมล้ำในด้านใด ๆ บ้าง ควรมีการแบ่งปันอย่างไรจึงจะเรียกว่ายุติธรรม ฝ่ายหนึ่งบอกว่าความมั่งคั่งเป็นผลผลิตของปัจเจกบุคคล ใครที่สามารถผลิตความมั่งคั่งได้ สมควรที่จะครอบครองความมั่งคั่งต่อไป ขณะที่อีกฝ่ายกล่าวว่า ความมั่งคั่งของสังคมเป็นผลผลิตมวลรวมร่วมกันของสังคม ดังนั้นควรมีการแบ่งปันที่ยุติธรรม ขณะที่สังคมในปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ตั้งแต่ปี 2543-2554 ข้อมูลชี้ว่า 20 เปอร์เซนต์ ของกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงที่สุด ครอบครองรายได้ 48-51 เปอร์เซนต์ ของรายได้ครัวเรือนทั้งประเทศ ขณะที่ 20 เปอรืเซนต์ ของกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่สุด มีรายได้เพียง 4-6 เปอร์เซนต์ ของรายได้ครัวเรือนทั้งประเทศ ชี้ให้เห็นว่า รายได้มีการกระจุกตัว
การครอบครองทรัพยากร-ความมั่งคั่งกระจุกตัว
ตัวชี้วัดถัดมาคือ ความเหลื่อมล้ำในการถือครองทรัพย์สิน มีการสำรวจรายได้จากธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2553 ชี้ว่า บัญชีเงินฝากที่มียอดเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท มีจำนวนถึง 70.1 ล้านบัญชี คิดเป็น 88 เปอรืเซนต์ ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด และมีเงินฝากเพียง 300,000 ล้านบาท ขณะที่บัญชีที่มียอดฝากเกิน 10 ล้านขึ้นไป มีอยู่เพียง 70,000 บัญชี ไม่ถึง 1เปอร์เซนต์ ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด และมียอดเงินฝากถึง 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40 เปอร์เซนต์ ของเงินฝากทั้งหมดในธนาคาร แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งในสังคมมีการกระจุกตัว ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีอยู่จริง
ความเหลื่อมล้ำเรื่องทรัพยากร การถือครองที่ดิน มีหลักคิดที่ว่า ทรัพยากรไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งที่จะผูกขาดเป็นเจ้าของ แต่ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสมบัติรวมของทุกคน การแบ่งปันและการเข้าถึงควรเป็นไปอย่างยุติธรรม มีตัวเลขงานวิจัยชี้ว่า 90 เปอร์เซนต์ ของคนถือครองที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ แต่คนส่วนน้อย 10 เปอร์เซนต์ ถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่ ชี้ว่าผู้ถือครองที่ดินมีการกระจุกตัว แต่บางส่วนไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งที่ดินถือเป็นปัจจัยของการมีชีวิต เพราะมีความขัดแย้งการสำรวจที่ดินจึงเกิดขึ้น มีการสำรวจ 10 จังหวัด ประชาชน 50 ราย ใน 10 จังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ สมุทรปราการ ภูเก็ตและอื่น ๆ ถือครองที่ดิน 10 เปอร์เซนต์ สะท้อนว่าทรัพยากรที่ดินที่เป็นสมบัติรวมที่ทุกคนควรเข้าถึง ใช้ประโยชน์รวมกันของสังคมไม่เป็นความจริง จากทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล และถือครองโดยคนบางกลุ่ม
ความเหลื่อมล้ำมีในทุกภาคส่วนของสังคม
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข กองทุนข้าราชการ รัฐจ่าย 100 เปอร์เซนต์ มีผู้ได้รับประโยชน์ประมาณ 5 ล้านคน กองทุนประกันสังคมร่วมจ่าย 3 ฝ่าย รัฐบาลจ่าย 2.5 เปอร์เซนต์ ลูกจ้างและนายจ้างร่วมจ่ายคนละ 5 เปอร์เซนต์ มีผู้ได้รับประโยชน์จากกองทุนนี้ประมาณ 10 ล้านคน กองทุนที่เรียกว่าบัตรทอง หรือปัจจุบันเรียกว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีผู้ได้รับประโยชน์ประมาณ 48 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในกองทุนนี้ เมื่อดูรายละเอียดตัวเลขในแต่ละกองทุนที่รัฐจ่ายกองทุนต่อหัว ปี 2556 กองทุนประกันสุขภาพถ้วนหน้า รัฐจ่าย 2,755 บาทต่อคนต่อปี กองทุนประกันสังคม รัฐจ่าย 2,500 ต่อคนต่อปี ส่วนกองทุนข้าราชการ 15,000 บาทต่อคนต่อปี
ชี้ให้เห็นว่าระบบประกันสุขภาพที่เห็นว่าดีแล้ว ยังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ ควรมีการพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้น เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพราะการประกันสุขภาพเป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ที่ต้องเผชิญ ต้องรักษาความเจ็บป่วย จึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐจะต้องประกันให้กับประชาชนทุกคน และให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน
ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สิทธิในการเข้าถึงการศึกษาเป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของรัฐอีกหน้าที่หนึ่ง การศึกษาถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการศึกษาทำให้คนสามารถพัฒนาศักยภาพ สามารถเข้าถึงสิทธิอื่น ๆ ได้มากเท่านั้น เช่นเมื่อได้รับการศึกษามาก สามารถเข้าถึงสิทธิการเลือกประกอบอาชีพได้มากเท่านั้น สามารถพัฒนาความรู้ พัฒนาอาชีพได้มาก รายได้จะเพิ่มขึ้น และสามารถเลื่อนฐานะได้ สิทธิทางการศึกษาจึงมีความหมายที่ผูกพันกับสิทธิอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตามคปก.มองว่า การรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นฐานที่สำคัญของความยุติธรรม หมายความว่า ถ้าไม่มีการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่เป็นพลเมืองไทย หรืออย่างน้อยสิทธิในรัฐธรรมมนูญ พลเมืองไทยก็ไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ