‘พิชัย’หนุนลดดอกเบี้ย ‘ธีระชัย’หนุนแก้บาทแข็ง

ชุลีพร บุตรโคตร ศูนย์ข่าว TCIJ 16 พ.ค. 2556 | อ่านแล้ว 294 ครั้ง

 

เมื่อวันที่ 16 พ.ค.นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง กล่าวในเวทีราชดำเนินเสวนา เรื่อง “บาทแข็ง!!! นโยบายการเงิน การคลัง ที่ควรเป็น” ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่า ปัญหาเงินบาทแข็งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้นั้น เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการแก้ปัญหาของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้กลายเป็นแรงกดดันให้เงินทุนไหลเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยด้วย โดยพบว่ามีตัวเลขเงินไหลเข้าสู่ระบบถึงไตรมาสละ 78,000 ล้านบาท เทียบกับการโตของสินเชื่อที่มีตัวเลขอยู่ที่ 310,000 ล้านบาท จึงทำให้เห็นว่ามีนัยสำคัญที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และเสี่ยงต่อการเป็นฟองสบู่

 

นายธีระชัยกล่าวว่า โดยปกติแล้วหลักการในการดูแลค่าเงินบาทแข็งนั้นมีอยู่ 3 ประการด้วยกัน  คือ 1.การเข้าแทรกแซงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ข้อดีในหลักการนี้คือสามารถทำได้แบบเงียบ ๆ ไม่ทำให้บรรยากาศการลงทุนเสียและมีวิธีการทำได้หลากหลายรูปแบบ แต่ข้อเสียคืออาจจะทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยขาดทุนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการขาดทุนของธปท. แม้จะเกินเลยไปเป็น 1 ล้านล้านบาท ตามที่มีบางฝ่ายกังวล แต่เชื่อว่าไม่น่าเป็นปัญหาเปรียบเทียบกับการทำงานของธนาคารชาติของต่างประเทศที่แม้จะขาดทุนแต่ก็ยังสามารถทำงานต่อไปได้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจใน่ขณะนั้น

 

สำหรับหลักการที่ 2. คือการใช้ระบบดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งข้อนี้เห็นว่าอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะหากพิจารณาจะเห็นว่า ธปท. มีอำนาจบังคับได้เพียง 1 จุดในจำนวนดอกเบี้ยทั้งหมด 47 ซึ่งหากมีการลดดอกเบี้ยนโยบายที่ทำได้แค่จุดเดียวก็อาจจะไม่มีผลต่อเงินทุนที่ไหลเข้ามา เพราะนักลงทุนยังคงเชื่อมั่น ซึ่งอาจจะไปทำให้เกิดการเร่งให้เกิดฟองสบู่มากขึ้นก็ได้หลักการสุดท้ายคือกระบวนการควบคุมเงินไหลเข้า ซึ่งมีวิธีการหลายอย่าง แต่มาตรการที่ ธปท. เสนอไปที่กระทรวงการคลัง 4 ข้อ ได้แก่ 1.การห้ามซื้อพันธบัตร ธปท. 2.การอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติซื้อได้เฉพาะพันธบัตรกระทรวงการคลัง รัฐวิสาหกิจ และกำหนดระยะเวลาการถือครองระยะนึง 3.การเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร และ 4. เงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในไทยต้องมีการซื้อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะดูแลได้ดีและสร้างผลกระทบน้อยกว่าที่เคยออกเมื่อปี 2549

 

 

            “จากการพิจารณามาตรการดูแลเคลื่อนย้าย ที่ธปท. เสนอกับกระทรวงการคลังทั้ง 4 ข้อนั้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง แม้ว่าแต่ละมาตรการจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันอยู่บ้างก็ตาม โดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดอกเบี้ย หรือการบังคับจ่ายค่าป้องกันความเสี่ยง เพราะจะช่วยในการดูแลเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรซึ่งเป็นดูจะเป็นตัวสร้างปัญหาได้กว่า การไหลเข้าสู่ตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้น หรือตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันจากข้อมูลเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรของไทย ณ เดือนเมษายนปีนี้ มีมากถึง 8.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 5 ของปริมาณเงินในระบบทั้งหมด อย่างไรก็ตามการใช้มาตรการดังกล่าวควรเป็นการดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบเร่ง กระโตกกระตากนัก ทั้งนี้ไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ย เพราะไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาเงินบาทแข็งได้ ปัญหาตอนนี้คือเรื่องความขัดแย้งของ คลัง กับแบงค์ชาติ การประกาศปลดผู้ว่าฯ อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้” นายธีระชัยกล่าว

 

ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน และอดีตรมช.คลัง กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ปริมาณสภาพคล่องมีมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมไตรมาสแรกยังชะลอลง จึงเห็นด้วยกับแนวทางให้ ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อดูแลภาวะเศรษฐกิจ เพราะแม้ว่าการลดดอกเบี้ยจะดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ไม่เต็มที่จนต้องมีมาตรการอื่นๆ มาเสริมก็ตาม แต่การลดดอกเบี้ยก็มีผลทำให้ต้นทุนการกู้ยืม เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมทางการเงินของภาคธุรกิจต่ำลง เป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในระยะต่อไปได้ดีกว่า อย่างไรก็ตามตาม เชื่อว่า การดำเนินนโยบายการเงินและการคลัง น่าจะมีการหารือทำความเข้าใจกันได้ โดยไม่จำเป็นว่าต้องมีการปลดผู้ว่าการธปท.

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: