เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 15 พฤษภาคม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ กว่า 300 คน นำโดยตัวแทนผู้ป่วย และผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ตลอดจนตัวแทนชาวบ้านที่ถูกบริษัทฟ้องกรณีบุกรุกและเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ เคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือให้เอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ที่สถานทูตออสเตรเลีย เขตสาทร เพื่อคัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำ และใช้พื้นที่สาธารณะประโยชน์เพื่อกิจการเหมืองแร่ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสภาพแวดล้อม ของบริษัทจากออสเตรเลีย ที่ลงทุนทำเหมืองแร่ทองคำที่ จ.พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก โดยมีนายมาร์ค สเลเตอร์ (Mr.Mark Slater ) เลขานุการเอกอัครราชทูต เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน และเชิญตัวแทนของเครือข่ายฯ เข้าเจรจา 4 ราย เพื่อหารือหนทางแก้ปัญหาร่วมกัน
น.ส.สื่อกัญญา ธีระชาติดำรง ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกิจการเหมืองแร่ทองคำ กล่าว ว่า การเดินทางมายังสถานทูตออสเตรเลียในครั้งนี้ ภาคประชาชนไม่ได้ต้องการมาสร้างความรำคาญ หรือก่อกวนใดๆ แต่ต้องการขอเวลาเจรจาร่วมกับเจ้าหน้าที่หรือตัวแทนจากออสเตรเลีย ในฐานะประชาชนไทย ที่ถูกบริษัททุนคุกคามพื้นที่ เพื่อทำอุตสาหกรรมทองคำส่งออกต่างประเทศเท่านั้น สืบเนื่องจากบริษัทอัคราไมนิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Kingsgate Consolidate ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทย โดยครอบคลุมพื้นที่ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร และบริเวณใกล้เคียง เพื่อดำเนินกิจการอุตสาหกรรมทองคำมายาวนานกว่า 10 ปี หสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรและสุขภาพแก่คนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จึงอยากขอให้ประเทศเจ้าของทุนได้รับทราบ และดำเนินการประสานงานไปยังบริษัทดังกล่าวให้ยุติกิจการตลอดจนรับผิดชอบต่อผลเสียหายที่เกิดขึ้น
น.ส.สื่อกัญญากล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นที่ต้องการเสนอต่อเอกอัครราชทูต มี ประเด็นสำคัญดังนี้ ที่อยากให้ทางสถานทูตรับทราบ เช่น กรณีที่ บริษัท อัคราไมนิ่ง ฯ ขาดหลักธรรมาภิบาลในการทำเหมือง และละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนอันเป็นเจ้าของทรัพยากรในประเทศร่วมกัน ตลอดจนปล่อยน้ำเสียลงสู่ชุมชน ส่งผลให้ไม่สามารถใช้น้ำเพื่ออุปโภค บริโภคได้ เนื่องจากมีการปล่อยกากแร่เสียตลอดเวลา 10 กว่าปี , การแทรกแซงกลไกทางการเมือง และการละเลยต่อการควบคุมระบบน้ำเสีย ปล่อยลงสู่ชุมชนและมีการฟ้องร้อง คดีอาญาต่อชาวบ้านในพื้นที่อย่างไม่เป็นธรรม
ด้านนายพินิจ สารภูมี อายุ 56 ปี ชาวนาต.เขาเจ็ดลูก หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากกิจการเหมืองแร่ทองคำ กล่าวว่า ตนยึดอาชีพทำนามานานยังไม่เคยมีปัญหาสุขภาพ แต่หลังจากที่มีการประกอบกิจการเหมืองทอง เริ่มมีอาการแน่นหน้าอกอย่างต่อเนื่อง จึงเข้าพบแพทย์ในพื้นที่ เพื่อตรวจสุขภาพ แต่แพทย์ไม่เคยมีการยืนยันผลตรวจเลือดอย่างชัดเจน กระทั่งมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นเข้ามาช่วยเหลือ และนำไปตรวจสุขภาพใน ร.พ.รามาธิบดี เมื่อปี 2554 ผลระบุว่า พบสารหนู หรือไซยาไนด์เกินมาตรฐานทำให้มีอาการหายใจลำบาก แน่นหน้าอก ทำงานเหนื่อยง่าย ซึ่งตนและเพื่อนบ้านหลายคนมีปัญหาคล้ายกัน จึงอยากให้บริษัททุน ได้รับผิดชอบต่อการกระทำด้วย
“ตอนนี้ไม่ใช่แค่สารพิษในร่างกายเกินเท่านั้น แต่พวกเรายังต้องทนกับอาการผื่นคันด้วย เพราะน้ำประปาในพื้นที่ไม่สามารถใช้ได้ปกติ แม้ว่าเหมืองทองจะช่วยขนส่งน้ำประปาจากที่อื่น มาให้ใช้ครัวเรือนละ15 ถังต่อเดือน ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี มิหนำซ้ำผลผลิตข้าวก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร หเพราะมีน้ำเสียจากเหมืองปล่อยลงสู่พื้นที่เกษตรกรรม” นายพินิจกล่าว
นายพินิจกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรณีชาวบ้านร่วมคัดค้านการสร้างอุตสาหกรรมนั้น บริษัททุน ยังได้ฟ้องร้องในคดีอาญา คดีดำหมายเลขที่ 1919/2555 โดยฟ้องชาว ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ ทั้งสิ้น 6 ราย โดยคดียังอยู่ในขั้นไต่สวน ซึ่งสะท้อนว่า บริษัทพยายามรังแกชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้
ต่อมาเวลา 11.30 น. ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบออกมาแจ้งผลการเจรจาร่วมกับ นายโจนาธาน เคนนา (Jonathan Kennar ) รองเอกอัครราชทูต เบื้องต้นทราบว่า ทางสถานทูตไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการออกคำสั่งให้บริษัททุนดำเนินการใดๆ แต่ทางสถานทูตฯ ยืนยันว่าจะส่งหนังสือถึงรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อสรุปประเด็นปัญหาของคนไทย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการทำเหมืองต่อไป เพราะที่ผ่านมาปัญหายังไม่เคยส่งตรงถึงรัฐบาลออสเตรเลีย โดยทางเครือข่ายยืนยันว่าคำตอบที่ได้รับเป็นที่น่าพอใจและยินดีเคลื่อนขบวนกลับ กระทรวงศึกษาธิการ โดยจะมีการประสานงานมายังสถานทูต เพื่อขอรับทราบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ