คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.) ภาคอีสาน สถาบันวิจัยและพัฒนา (อาร์ดีไอ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดเสวนาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยในมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเข้มข้นในประเด็นพรบ.เงินกู้ ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายด้านการจัดการน้ำ โครงการด้านการคมนาคมขนส่ง โดยมีการแลกเปลี่ยนระหว่างวิทยากรและผู้เข้าร่วมเสวนา พร้อมทั้งได้มีการแสดงความคิดเห็นของภาคประชาชนและประชาสังคมต่อนโยบายเงินกู้ รวมทั้งได้ร่วมกันวางแนวทางในการดำเนินการติดตามด้านนโยบายเงินกู้สาธารณะต่อไปในอนาคต
นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการกป.อพช.อีสาน ผู้ดำเนินรายการเสวนากล่าวถึงสถานการณ์ที่รัฐบาลได้นำเสนอร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่งของประเทศ หรือที่เรียกกันว่า พ.รบ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินนอกงบประมาณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย ได้ผ่านการพิจารณาวาระแรกจากสภาผู้แทนราษฏรแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อการวางระบบการจัดการน้ำ งบประมาณดังกล่าวถือว่าเป็นหนี้นโยบายสาธารณะ แต่มีข้อที่น่าสังเกตหลายประการ โดยเฉพาะขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน
น.ส.จันทิมา ธนาสว่างกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 168 จะมีขั้นตอนระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดกวดขัน โดยต้องมีรายละเอียดด้านงบประมาณ แผนการใช้จ่ายประจำปี หากมีแผนผูกพันงบประมาณก็ต้องมีการรายงานการใช้จ่ายเงินแต่ละปีต่อรัฐสภาและจะต้องมีกฏหมายควบคุมการใช้จ่ายเงิน แต่พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเน้นในการสนับสนุนโครงการด้านการคมนาคม โดยโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เป็นพรบ.ที่ หลุดจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 167และ 168 ว่าด้วยการพิจารณารายจ่ายงบประมาณของแผ่นดิน มันจะหลุดจากการโต้แย้งของสส.ในพื้นที่และหลุดจากการควบคุม สรุปว่าการออกกฎหมายนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ รวมทั้งหลบเลี่ยงกฎหมายหนี้สาธารณะ ที่ได้กำหนดไว้รวมทั้ง พ.ร.บ.เงินกู้นี้ได้มีการออกระเบียบการใช้โดยรมว.คลัง ซึ่งออกระเบียบเอง มีอำนาจเบิกจ่ายเอง และขาดระเบียบการตรวจสอบ ซึ่งถือว่าขัดหลักนิติธรรมเพราะกฏหมายหนี้สาธารณะก็มีอยู่แล้วแต่เอา รมว.คลังมาออกระเบียบ ทำให้ฐานะของระเบียบอยู่เหนือกฎหมาย และหากดูรายละเอียดของแผนที่แนบมา จะไม่มีรายละเอียดของการใช้งบประมาณ มีแต่ชื่อโครงการ วงเงิน ไม่มีรายละเอียดของแผนงานที่แน่นอน ไม่มี EIA ,HIA หรือการระบุว่า จะเกิดปัญหาด้านเสียง การเวนคืนที่ดินของชาวบ้านหรือด้านอื่น ๆ ต่อประชาชนและไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้น เช่นขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ รายละเอียดการดำเนินงาน อันจะเป็นการรับประกันความเสี่ยงในการดำเนินโครงการในอนาคต
นอกจากนี้ในรายละเอียดของแผนดังกล่าวยังระบุว่าหากโครงการที่ดำเนินการไม่เสร็จจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งหมายถึงในอนาคตอาจจะเกิดหนี้ที่บานปลายมากกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหากดำเนินโครงการไม่เสร็จ
น.ส.จันทิมากล่าวสรุปว่า พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท นี้เป็นวิธีการทุจริตเชิงนโยบาย ทำโครงการให้หลวม มีการตรวจสอบน้อย ทำให้เกิดการรั่วไหลทางการเงินได้มาก ซึ่งภาคประชาชนและสังคมควรเร่งตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
ด้านนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ จากโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ กล่าวเปรียบเทียบถึงงบประมาณทั้ง 2 ก้อน คือ 3.5 แสนล้านบาท และ 2.2 ล้านล้านบาท ขั้นอนุมัติและอนุญาตในการดำเนินโครงการจัดสรรเงินกู้ว่า มีความแตกต่างกันมาก โดยงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทจะเป็นโครงการที่มีขั้นตอนกลับหัวกลับหางกล่าวคือ ได้มีการหาผู้รับประมูลเสร็จแล้วหาผู้รับเหมาไว้ซึ่งอาจจะเป็นบริษัทต่าง ๆ แล้วหน่วยงานเช่น กยน.หรือกบอ.ที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแล มีการชงเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้อนุมัติโครงการแล้วจึงมาออกแบบโครงการศึกษาความเหมาะสม (SF) ศึกษาอีไอเอและศึกษาผลกระทบทางสุขภาพตามหลัง ส่วนงบประมาณ 2.2 ล้านล้านอาจจะดูดีในกระบวนการที่จะเป็นไปตามขั้นตอนแต่หากมาดูรายละเอียดบัญชีแนบท้ายพรบ.นั้นซึ่งมีแค่ชื่อโครงการและงบประมาณนั้นไม่เพียงพอที่จะดำเนินโครงการไปตามขั้นตอนปกติได้จะต้องมีการดำเนินโครงการแบบกลับหัวกลับหางอยู่ดี ซึ่งคิดว่าขั้นตอนการดำเนินโครงการของ พรก.3.5 แสนล้านบาทและ 2.2 แสนล้านบาท นั้นเป็นการขัดกับ พรบ.สิ่งแวดล้อมและรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
ด้านนายหาญณรงค์ เยาวเลิศ มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำที่มีอำนาจการรวมศูนย์การจัดการไว้ที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี โดยโครงการเขื่อนหลายโครงการยังไม่มีการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA เช่น โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โครงการเขื่อนยมบน ยมล่างที่จะส่งผลกระทบต่ออุทยานแห่งชาติ ซึ่งถือว่ากระบวนการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ หลายโครงการที่ยังไม่มี EIA มีการสั่งการให้จ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดทำ EIA ขึ้นมา กระบวนการตรงนี้อย่างไร EIA ก็ผ่านเนื่องจากนายปลอดประสพเป็นประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่สามารถอนุมัติให้โครงการผ่านได้ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการชงเรื่องเองและอนุมัติโครงการเอง
ส่วนในด้านงบประมาณ 3.5 แสนล้านนั้น นายหาญณรงค์กล่าวว่า หากมีการเซ็นสัญญากับบริษัทที่ปรึกษาก่อนวันที่ 30 มิถุนายน นี้ บริษัทฯจะมีสิทธิในการเบิกจ่ายได้ 5 เปอร์เซ็นต์ของโครงการ คือประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งตามความเป็นจริงโครงการเขื่อนประมาณ 30 โครงการ ถ้าหากมีการทำ EIA แล้ว โครงการหนึ่ง ๆจะไม่เกิน 20 ล้านบาทรวมแล้วไม่เกิน 60 ล้านบาท แต่ทำไมจะต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณออกมามากถึง 1500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตั้งข้อสังเกตและจับตามอง
นายวิทูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ เครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาลุ่มน้ำโขง กล่าวถึงเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทว่า ส่วนใหญ่คนจะไม่รู้ว่ามาจากไหน โดยเป็นเงินกู้ที่ได้มาจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures Fund) ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.เงินกู้จากกองทุนช่วยเหลือ เช่น ไจก้า เจบิค 2.เงินที่มาจากการออกพันธบัตร 3.เงินที่มาจากกองโครงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยให้ประชาชนเข้าหุ้นแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ พูดง่าย ๆ คือ ไม่ต้องมีการออก พ.ร.บ. พ.ร.ก อะไรเลย แต่จะออกพระราชกำหนดที่มีผลต่อเนื่องกับพระราชบัญญัติที่ดินในเรื่องการจำนองทรัพย์สิน มีการออกนโยบายลดหย่อนภาษี ซึ่งรัฐจะมีการกู้จากกองทุนที่มีการระดมทุนแล้วเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์โดยมีบริษัทหรือธนาคารเป็นผู้ดูแลเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเงินตรงนี้แหละที่จะเป็นแหล่งให้ 2.2 ล้านล้านบาทเข้าไปกู้ โดยกระบวนการนี้เป็นการลักไก่โดยที่ไม่ต้องมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ยุ่งยาก เงินที่เอาไปตั้งกองทุนนี้มีโครงการที่ครอบคลุมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน 10 โครงการ เช่น โรงไฟฟ้า การทำแนวสายส่งไฟฟ้า ท่อก๊าซ ฯลฯ กิจการที่อยู่ในลักษณะสัมปทานทั้งหมด และเกี่ยวเนื่องกับการขายให้รัฐทั้ง รวมทั้งโครงการที่มาจาก 3.5 แสนล้านบาท ก็มาจากนี้ทั้งหมด
นายวิทูรย์กล่าวอีกว่า โครงการเงินกู้ที่จะเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่เรื่องน้ำท่วมและเรื่องทางคมนาคมแต่เป็นการทำให้สิ่งที่เป็นด้านนโยบายสาธารณะกลายเป็นการระดมทุนและสร้างงานให้กับธุรกิจได้อย่างไม่มีขีดจำกัดด้านกฏหมาย
จากบรรยากาศช่วงสุดท้ายของการเสวนา มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง โดยมีข้อคิดเห็นที่ตรงกันในการที่จะต้องมีการร่วมกันตรวจสอบโครงการและนโยบายหนี้สาธารณะ โดยเฉพาะประเด็นปัญหาจากโครงการรถไฟความเร็วสูงและโครงการจัดการน้ำที่จะต้องมีการติดตามปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าจะเกิดปัญหากระทบกับประชาชนโดยตรงและจะทำให้เกิดหนี้สาธารณะที่ประชาชนทั้งประเทศมีส่วนร่วมแบกรับหนี้ ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนร่วมกันของภาคประชาชนและประชาสังคม จะต้องมีการจัดทำข้อมูลและกระจายข้อมูลข่าวสารสู่ประชาชนเครือข่ายต่าง ๆ ซึ่งจะมีการติดตามปัญหาร่วมกันอย่างต่อเนื่องและจะจัดเวทีอีกครั้งในช่วงต้นเดือนหน้า
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ