ในปัจจุบัน การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารมีความรวดเร็วมากขึ้น การโพสต์ข้อความหรือ Share รูปภาพต่อกันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย อาจสามารถเกิดการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาดได้ ศูนย์ข่าว TCIJ จึงขอยกตัวอย่างการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาดที่เกิดจากการ Share ข้อมูลของคนในสังคมออนไลน์
เผยแถบสีบนหลอดยาสีฟัน ใน Social Network สร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค จากภาพที่ Share กันในโลกออนไลน์ ระบุว่า แถบสีบนหลอดยาสีฟัน ใช้บอกส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตจากวัสดุธรรมชาติหรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีอยู่ในส่วนผสม เช่น แถบสีน้ำเงิน เป็นส่วนผสมที่ผลิตจากธรรมชาติ แถบสีแดง เป็นส่วนผสมที่ผลิตจากสารเคมี เป็นต้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แถบสีบนหลอดยาสีฟัน เป็นเพียงตัวระบุตำแหน่ง (maker) ที่ใช้ในกระบวนการพิมพ์เท่านั้น หรือที่เรียกว่า Eye-Mark หรือ Eye Spot ตัวแถบสีเหล่านี้ จะสามารถทำให้ตัวเซนเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพิมพ์สามารถจับตำแหน่งพิกัดของสิ่งที่พิมพ์ได้ดีขึ้น ทำให้กระบวนการพิมพ์ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งแถบสีดังกล่าวยังช่วยในกระบวนการหยิบจับผลิตภัณฑ์ได้ตรงตำแหน่ง เพื่อการบรรจุ นับ ติดฉลาก ปิดบรรจุภัณฑ์
ในเครื่องจักรรุ่นเก่า Eye-Mark จะเป็นแถบสีดำเท่านั้น แต่ในปัจจุบันเครื่องจักรรุ่นใหม่ ๆ สามารถตรวจจับแถบสีได้หลากหลายมากขึ้น ผู้ผลิตจึงนิยมใช้สีเดียว เพื่อประหยัดค่าบล็อกสีในการสกรีน Eye-Mark
Eye-Mark ในแถบหลอดยาสีฟันหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นหลอด แถบสีที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีเข้มหรือ Contrast เพื่อให้เครื่องหนีบผลิตภัณฑ์ สามารถหยิบจับผลิตภัณฑ์ได้ถูกต้องแม่นยำ เนื่องจากในสายการผลิต ผลิตภัณฑ์ประเภทหลอดจะถูกลำเลียงและหลอดจะถูกหมุนเพื่อหาตัว center ที่จะหนีบผลิตภัณฑ์ และตัวเซนเซอร์จะหนีบผลิตภัณฑ์เพื่อลำเลียงตามสายการผลิตอีกครั้ง ส่วนมาก Eye-Mark จะอยู่บริเวณปลายหลอด หรือในบางผลิตภัณฑ์ Eye-Mark จะถูกตัดออกไป แล้วแต่การออกแบบและเทคนิคของการผลิตแต่ละโรงงาน
นอกจากนี้การเผยแพร่ข่าวสารบน Social Network ยังมีการกล่าวอ้างที่ผิดพลาดอีก ในกรณีฟอร์เวิร์ดเมลล์ที่อ้างว่า เตือนภัยการดื่มชาเขียวแช่เย็นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย ข้อความระบุว่า ให้ทดสอบชาเขียวเย็น โดยการเทชาเขียวลงไปในชามก๋วยเตี๋ยว พบว่า หลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปสักครู่ มีคราบไขมันลอยขึ้นมาคล้ายคราบน้ำซุป เหมือนกับการดื่มชาเขียวแช่เย็นลงไปในร่างกายจะเกิดคราบดังกล่าวภายในร่างกายเช่นกัน ทำให้คนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ น้ำชาเขียวแช่เย็น ยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ อีกด้วยอย่างที่ทราบกันดีว่า ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนเป็นประจำ แต่จะไม่นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็นเท่าไหร่ เนื่องจากชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายให้ขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกิดออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ
จากฟอร์เวิร์ดเมลล์ดังกล่าว ทำให้คนไทยที่นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น เกิดความวิตกกังวลอย่างมาก แต่ในความเป็นจริง ความเชื่อดังกล่าวไม่ถูกต้อง อาจารย์สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เคยกล่าวไว้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่า การดื่มชาเขียวเย็นจะทำให้เกิดโรคได้ รวมทั้งยังไม่มีผลวิจัยว่า การดื่มชาเขียว จะสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในคนได้อย่างที่คนร่ำลือกัน แม้ที่ยอดใบชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้จริงก็ตาม
ขณะที่ น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ระบุว่า การดื่มชาเขียวแช่เย็นจะทำให้เกิดมะเร็งนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริง ส่วนเรื่องการดื่มชาร้อน ๆ แม้จะมีผลวิจัยระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระในชาจะหายไปประมาณ 20 เปอร์เซนต์ หากโดนความร้อนนาน ๆ แต่คนที่ดื่มชาส่วนใหญ่จะชงชาดื่ม ไม่ต้มชา ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาอะไร
อีกกรณีหนึ่งจากการแชร์ภาพทาง Social Network เริ่มต้นมาจากการแชร์ภาพจากต่างประเทศ โดยส่งลิงค์กันมาเรื่อย ๆ ว่า ผักชีหรือน้ำผักชีสามารถช่วยล้างไตได้ ระบุว่า “นำผักชีมาล้างทำความสะอาดและสับให้ละเอียด หลังจากนั้นนำไปต้มกับน้ำประมาณ 10 นาทีและกรองเอาแต่น้ำแช่ตู้เย็น ดื่มวันละ 1 แก้วใหญ่ แค่นี้คุณจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง โดยการที่ไตคุณถูกล้างสังเกตได้จากปัสสาวะที่ถูกถ่ายออกมาและความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
ขณะที่แพทย์ระบุว่า สาเหตุหนึ่งที่สำคัญของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง เกิดจากไตขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายไม่ทัน หรือเกิดจากโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินไป ทำให้ไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นผิดจังหวะและหยุดเต้นได้ แพทย์จึงจำเป็นต้องมีการตรวจดูค่าโพแทสเซียมในเลือดผู้ป่วยอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีค่าโพแทสเซียมสูง
ผักชีเป็นผักชนิดหนึ่งที่มีค่าโพแทสเซียมอยู่ในระดับสูงมากถึง 447-544 มิลลิกรัมต่อผัก 1 ขีด เมื่อผู้ป่วยโรคไตรับประทานผักชีหรือน้ำผักชีเข้มข้นเพียงเล็กน้อย ถือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยอย่างมากและเสี่ยงต่อไตวาย
จากการสำรวจพบว่า ไม่ว่าจะเป็นผักชีฝรั่ง หรือผักชีไทยก็ตาม ยังไม่พบการศึกษาที่รับรองการใช้ในการล้างไต หรือชะลอการเสื่อมของโรคไตได้ จึงทำให้สรุปได้ว่า การกินน้ำผักชีเพื่อใช้ล้างไตนั้น ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะช่วยชะลอหรือล้างไตในผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรังได้
ในปัจจุบันกระแส Social Network เข้ามาอิทธิพลต่อชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก การ Share หรือ Post ข้อความลงไปยัง Social Network ผู้อ่านควรพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบว่ามีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ก่อนจะปักใจเชื่ออะไรง่าย ๆ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ