เนื่องเพราะกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นกลุ่มประเทศที่รวมกันภายใต้ความหลากหลายของสังคม วัฒนธรรม การเมือง รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจด้วย ส่งผลให้สื่อแต่ละประเทศย่อมมีความแตกต่างกัน การทำงานของสื่อ รวมถึงลักษณะการบริหารงานสื่อก็ย่อมมีความแตกต่างกันด้วย
ในการเสวนา “ภูมิทัศน์สื่อในต่างประเทศ สู่กลไกการกำกับดูแลในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา จึงได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน นักวิชาการ และผู้สนใจ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับกลไก ระบบ ระเบียบต่าง ๆ ในการทำงานของสื่อไทย ที่หลายคนเชื่อว่ากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง
ในเวทีเสวนามีการฉายภาพรวมของการทำงานสื่อในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในมุมมองของ กายาทรี เวนกิทสวารัน ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) เห็นว่า เพราะวิถีชีวิตของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแตกต่างกัน ย่อมทำให้การทำงานขององค์กรสื่อมีแนวความคิดที่แตกต่างกันตามบริบทของสังคมตามไปด้วย แต่หากพิจารณาจากภาพรวมแล้ว เห็นว่าสื่อมวลชนในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ที่มีการทำงานที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาคนี้ และถือเป็นสื่อมวลชนต้นแบบให้กับสื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยเห็นได้ว่าองค์กรสื่อของทั้งสองประเทศมีการทำงานอย่างมีระบบ ทั้งยังมีกฎหมายควบคุมดูแลอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันภาครัฐยังคงให้อิสระกับสื่อมวลชนในระดับหนึ่ง ต่างจากสื่อมวลชนประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ในประเทศพม่าที่สื่อถูกควบคุมโดยภาครัฐทั้งหมด รวมทั้งในฟิลิปปินส์ การกำกับดูแลองค์กรสื่อ เป็นเรื่องของอาสาสมัครที่จะเข้ามากำกับดูแลตนเอง ยังไม่มีกฎหมายเข้ามาควบคุมหรือกำกับดูแลอย่างเป็นจริงเป็นจัง
กายาทรีกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเรื่องความเป็นอิสระในการทำงานของสื่อ ในภาพรวมพบว่า การเป็นเจ้าของสื่อหรือการครอบครองสื่อในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลับพบว่ายังไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับในการก่อตั้งองค์กรสื่อหรือการครอบครองสื่อ จึงทำให้องค์กรสื่ออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของภาครัฐ จะเห็นได้จากในประเทศอินโดนีเซีย มีการต่อสู้อย่างหนักเพื่อเสรีภาพสื่อ รวมทั้งในประเทศลาวและเวียดนาม สื่ออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของภาครัฐ สื่อที่เป็นของเอกชนก็อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ได้รับสัมปทานจากรัฐ รัฐจึงเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายต่อต้านการผูกขาดดังกล่าว
ขณะที่สื่อไม่มีแรงจูงใจในรวมตัวเป็นองค์กรหรือสมาคม ที่สามารถกำกับดูแลตนเองได้ จะเห็นได้จากในประเทศฟิลิปปินส์ สมาคมผู้กระจายเสียงมีผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพียง 10 รายเท่านั้น เนื่องจากองค์กรสื่อเห็นว่า การเข้าร่วมเป็นองค์กรหรือสมาคมที่สามารถกำกับดูแลตนเอง อาจทำให้มีการตรวจสอบสื่อที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก เพื่อความโปร่งใส จึงทำให้มีการหลีกเลี่ยงในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมดังกล่าว
“ความท้าทายของสื่อยังเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ เข้ามามีบทบาทในเรื่องการกำกับดูแล เช่น กฎหมายความมั่นคง การลบหลู่ศาสนา แนวทางปฏิบัติ กฎกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ ทำให้ภาครัฐสามารถเข้ามาแทรกแซงการทำงานของสื่อได้ตลอดเวลา” กายาทรีระบุ
และเห็นด้วยว่า ปัจจุบันกฎหมายที่เข้ามากำกับดูแลการทำงานของสื่อยังอยู่ในขั้นตอนของการต่อรอง เนื่องจากภาครัฐยังต้องการเข้ามาแทรกแซง หรือมีสิทธิภายใต้สื่อของประเทศอยู่ ซึ่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังขาดกรอบด้านนโยบายโดยรวม ในการกำกับดูแลสื่อ ส่งผลทำให้สื่อไม่สามารถกำกับดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ กายาทรียังได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบการทำงานของสื่อมวลชนในภูมิภาคอื่น เช่น การทำงานของสื่อมวลชนในประเทศแถบยุโรป สามารถกำกับดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และให้อิสระในกิจการโทรทัศน์ โดยที่รัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซง และปกป้องเยาวชนไม่ให้ตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง
ขณะที่สื่อมวลชนในประเทศอังกฤษอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขั้นพื้นฐานของกฎหมาย หรือเป็นองค์กรสื่อสามารถกำกับดูแลตนเองได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายและถูกควบคุมดูแลผ่านสหภาพยุโรป หรือ EU และ Ofcom เป็นหน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการสื่อสารในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในการรับผิดชอบภาพรวมของอุตสาหกรรมสื่อสาร รวมถึงกระบวนการต่าง ๆ ในการอนุญาตให้สิทธิการประกอบกิจการ ออกนโยบาย กฎระเบียบ และยังมีบทบาทในด้านการสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม อีกทั้งยังปกป้องสิทธิผู้บริโภคอีกด้วย
ด้านสื่อมวลชนในออสเตรเลีย มีโครงสร้างในการกำกับดูแลตนเอง ภายใต้การดูแลของอุตสาหกรรมสื่อและให้เสรีภาพกับสื่อมวลชน และเจ้าของสื่อในออสเตรเลียจำเป็นที่จะต้องเป็นชาวออสเตรเลียเท่านั้น อีกทั้งยังให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเช่นกัน “ซึ่งดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับการทำงานขององค์กรสื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่มาก”
นอกจากนี้ในวงเสวนายังกล่าวถึงการโฆษณาและกลไกกำกับดูแลในต่างประเทศ ซึ่ง Chirs Banatavala ผู้แทนจาก Ofcom ประเทศอังกฤษ กล่าวถึง กฎการกำกับดูแลโฆษณาในประเทศอังกฤษว่า หากมีโฆษณาที่ไม่เหมาะสมจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการออกอากาศ ห้ามไม่ให้มีการโฆษณาทางการเมือง ห้ามการใช้โฆษณาแฝง และเวลาในการโฆษณาจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม คือในเวลา 1 ชั่วโมง จะสามารถฉายโฆษณารวมไม่เกิน 12 นาที ในรายการข่าว หรือรายการสำหรับเด็ก
โดยมีการกำหนดโดยออกระเบียบข้อบังคับการโฆษณา 3 ประการ 1.คณะกรรมการควบคุมการออกอากาศของสื่อโฆษณา (Broadcasting Committee of Advertising Practices หรือ BCAP) ทำหน้าที่ในการกำหนดและพิจารณาด้านศีลธรรมและจริยธรรม 2.คณะกรรมการการควบคุมการออกอากาศและการเงิน ทำหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีในการโฆษณา โดยจัดเก็บ 1 ปอนด์จากการใช้จ่ายโฆษณา 1,000 ปอนด์ 3.องค์กรการกำกับดูแลตนเองของสื่อโฆษณา (Advertising Standards Authority หรือ ASA) ทำหน้าที่ในการจัดการเรื่องร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสมของโฆษณา และสรรหาเชี่ยวชาญด้านการกำกับดูแลและคณะกรรมการการพิจารณา
สำหรับการกำกับดูแลโฆษณาจะเน้นขอบค่ายการดูแลโฆษณาที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คลาดเคลื่อน หรือชวนเชื่อสินค้า เช่น โฆษณาที่บิดเบือนคุณภาพของสินค้าหรือการพูดโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โฆษณาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเด็ก โฆษณาที่เฉพาะเจาะจง เช่น ยา ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน แอลกอฮอล์ การพนัน สื่อลามก โฆษณาที่มีความเป็นส่วนตัวโฆษณาเรื่องการเมืองและความขัดแย้ง โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องทางสิ่งแวดล้อม เวลาในการฉายโฆษณา โฆษณาอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอ้วน เช่น อาหารที่มีน้ำตาลและเกลือสูง
นอกจากนี้ ยังได้ยกตัวอย่างการโฆษณาอาหารและยา นโยบายของรัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการกินอย่างเหมาะสม เพราฉะนั้นการโฆษณาจึงไม่ควรส่งเสริมให้มีการรับประทานอาหารมากเกินความพอดี หรือไม่ถูกหลักโภชนาการ หรือชี้นำผู้บริโภคในทางที่ผิด เช่น กินผักไม่ดีต่อสุขภาพ โฆษณาเรื่องการป้องกันและการรักษาทางการแพทย์ และไม่อนุญาตให้แพทย์หรือพยาบาลปรากฎในโฆษณาสินค้า ห้ามโฆษณายาในรายการเด็ก ห้ามโฆษณานมผงเลี้ยงเด็ก และภาพเด็กรับประทานยาสามารถปรากฎทางหน้าจอได้หลัง 21.00 น. เท่านั้น
ขณะที่ Brian Gordon ผู้แทนจาก Advertising Standards Bureau กล่าวถึงการกำกับดูแลโฆษณาในประเทศออสเตรเลียว่า การกำกับดูแลโฆษณาในประเทศออสเตรเลียเป็นการกำกับดูแลด้วยตนเอง ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการโฆษณา หากประชาชนพบโฆษณาที่ไม่เหมาะสมสามารถยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการกำกับดูแล ซึ่งมีหน้าที่ในการรับข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับการโฆษณา สำหรับการจัดตั้งคณะกรรมการการกำกับดูแลจำนวน 20 คน คำนวณจากสัดส่วนของประชากรทั้งประเทศที่มี 20 ล้านคน โดยคณะกรรมการการพิจาณาจะคัดสรรจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่าง ๆ และหากประชาชนท่านใดสนใจที่จะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาสามารถสมัครเข้าคัดเลือกได้ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และหากมีเรื่องใดที่ถูกร้องเรียนเข้ามามากเป็นพิเศษ คณะกรรมการการพิจารณาจะให้น้ำหนักผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจะเน้นไปที่จรรยาบรรณเป็นหลักโดยความไม่เหมาะสมจะพิจารณาจาก โฆษณาที่สื่อไปในทางการเลือกปฏิบัติให้อีกฝ่ายกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนทั่วไป โดยอิงกับเรื่องของ เชื้อชาติ เพศสภาวะ อายุ ศาสนา หรือความเชื่อทางการเมือง โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาประโยชน์จากผู้หญิง ในสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงเลย โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การใช้ความรุนแรงเกินเหตุ โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเพศ ความรู้สึกทางเพศ หรือภาพการเปลือยกาย ภาษาที่ใช้ในการโฆษณา โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัย เช่น ในโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มจะคำนึงถึง คุณค่าทางโภชนาการ การอวดอ้างสรรพคุณ หรือการมุ่งเป้าไปที่เด็ก
จากการกำกับดูแลตนเอง 4 ปีที่ผ่านมาคณะกรรมการพบว่า การเลือกปฏิบัติและการกล่าวให้ร้ายกันถูกร้องเรียนมากที่สุด สำหรับสื่อที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด คือ สื่อโทรทัศน์ รองลงมาคือ อินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ยังมีการสำรวจความความคาดหวังของประชาชนและความเห็นต่อการตัดสินความไม่เหมาะสมของโฆษณาพบว่า 80 เปอร์เซนต์ ของประชากรทั้งหมดเห็นตรงกันว่ามีความชอบธรรม
สำหรับในประเทศไทย ดร.นิวัติ วงศ์พรหมปรีดา อุปนายกฝ่ายส่งเสริมจรรยาบรรณ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย กล่าวถึง การควบคุมและการกำกับดูแลโฆษณาในประเทศไทยว่า ช่องฟรีทีวีเป็นสื่อที่มีการโฆษณามากที่สุด การโฆษณาจะมีกฎข้อห้าม โดยห้ามโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภค ห้ามโฆษณาสินค้าที่ขัดต่อความมั่นคง และห้ามโฆษณาสินค้าที่ขัดต่อศีลธรรม แต่สินค้าที่ขึ้นทะเบียนเฉพาะ เช่น ยา อาหาร วัตถุมีพิษ จะต้องมีการขออนุญาตและผ่านการเซ็นเซอร์โดยสมาคมฯและสถานทีโทรทัศน์ จากนั้นเมื่อมีการเผยแพร่โฆษณาจะเข้าสู่การพิจารณาโดยรัฐ รัฐจะเป็นผู้สอดส่องและตรวจสอบลงโทษตามกฎหมาย
ส่วนการควบคุมและกำกับดูแลโฆษณาในประเทศไทยนั้น ก่อนปี 2537 มีการเซ็นเซอร์โดยคณะกรรมการการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ กบว. ต่อมาเป็นการกำกับดูแลด้วยตนเองโดยรัฐ กรรมการเซ็นเซอร์ จะประกอบไปด้วยตัวแทนจากสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ร่วมกับตัวแทนจากสมาคมโฆษณาฯ
ขณะที่เริ่มจากผู้โฆษณาส่ง Storyboard เข้ารับการตรวจพิจารณา (Pre-censor) เมื่อผ่านการพิจารณาจากกรรมการเซ็นเซอร์จึงนำไปผลิต เมื่อโฆษณาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาจากคณะกรรมการเซ็นเซอร์อีกครั้ง หากไม่ผ่านการพิจารณาต้องมีการนำไปปรับปรุงแก้ไขก่อนนำออกอากาศ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ