‘ถ้าเลือกได้ แทนที่จะไปรอรับแสงอรุณแรกของปีใหม่ ศตวรรษใหม่ และสหัสวรรษที่ 3 ผมอยากมีโอกาสรอคอยอยู่อีกด้านหนึ่งของเส้นแบ่งวันสากลที่แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ของบรรดาหมู่เกาะ Near Islands, Midway Islands, Phoenix Islands หรือหมู่เกาะซามัวตะวันออก (Western Samoa) เพื่อไปร่ำลาดวงตะวันยามพลบ ไปมองแสงสุดท้ายของปีเก่า ศตรวรรษเก่า และสหัสวรรษเดิม
‘ไม่ใช่เพื่อที่จะจ่อมจมไปกับความโศกเศร้าแบบเจ้าชายน้อย แต่ผมคิดว่า ในโมงยามของการจากลา...ไม่ว่าผู้ใดก็ตามต่างต้องการกำลังใจและคำปลอบโยน’
ขณะที่คนเกือบทั้งโลกปลื้มยินดีกับแสงแรกแห่งสหัสวรรษที่ 3 เขากลับต้องการโอบกอดแสงสุดท้ายแห่งสหัสวรรษที่ 2 ที่กำลังจะจากไปอย่างหม่นเศร้า ด้วยกลัวว่ามันจะเดียวดาย แม้จะยืนยันว่าไม่ต้องการจ่อมจมกับความเศร้า แต่ผู้อ่านจะตอบได้เต็มปากหรือว่า...ไม่เศร้า
มีอาชีพการงานหลายชนิดในโลกที่ผูกพ่วงการเดินทางเข้าไปด้วย นักมานุษยวิทยาเป็นอาชีพหนึ่งที่ทั้งต้องเดินทางและฝังตัว ณ จุดหมายปลายทาง ค้นหาคำตอบบางอย่างที่เป็นความจริงตามกระบวนวิธีของมานุษยวิทยา นักเขียนสารคดีการเดินทางก็ด้วยที่ต้องเดินทาง สังเกตสังกา เสาะหาความจริง แง่มุม ความรู้สึก ด้วยแว่นที่อาจจะโรแมนติก อ่อนโยน และยืดหยุ่นกว่านักมานุษวิทยา
กับบางคนสวมบทบาททั้งนักมานุษยวิทยาและนักเขียน ผมไม่ได้ถามเขาว่า เจอความจริงอะไรบ้างระหว่างทาง แต่อยากรู้เหลือเกินว่า เหตุใดความจริงของเขาจึงชวนเศร้านัก
“ความจริงเป็นสิ่งที่น่าเศร้า" เขาตอบ
10 กว่าปีก่อน หนังสือสารคดีการเดินทางเล่มหนึ่งปรากฏตัวบนแผง ผมลืมภาพหน้าปกไปแล้ว จำได้แต่ชื่อ ชื่อที่แปลกต่าง เพราะแทนที่มันจะยั่วยุให้คนอ่านแพ็กกระเป๋า มุ่งหน้าออกไปปะทะกับโลกกว้าง มันกลับตั้งคำถามกับการเดินทาง ทำเอามือที่กำลังเก็บของชะงักงันกลางอากาศ ‘จะไปให้ไกลถึงไหนกัน’ ...เลือนรางว่าผมก็เคยถามคำถามนี้
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ นักเขียน-นักมานุษยวิทยา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลายคนเล่าลือว่าตัวหนังสือของเขาแน่นหนาทั้งข้อมูลและห้วงอารมณ์ละมุนละไม หวาน ขม และอมเศร้า ตลอด 10 กว่าปี เขามีงานเขียนที่เขียนคนเดียวเพียง 3 เล่ม เล่มล่าสุดคือ ‘Paris Syndrome ชีวิตอันระเหิดไปของชายไทยคนหนึ่ง’ เล่มก่อนหน้า ‘จะไปให้ไกลทำไมกัน’ ซึ่งเป็นที่มาของ 2 ย่อหน้าแรก
ชื่อหนังสือ 2 เล่มแรกที่ห่างกัน 10 ปี คลับคล้ายเป็นการเดินทางและคลี่คลายของคำถามต่อการเดินทาง และต่อโลกทัศน์-ชีวทัศน์ของผู้ถาม บางที การเดินทางก็อาจเป็นได้ทั้งสารอาหารจำเป็นต่อชีวิตและเครื่องประดับประดาอัตตาอันไร้ความหมายได้พอๆ กัน ส่วนจะเป็นแบบไหนย่อมเป็นภาระของผู้เดินทาง
จะไปให้ไกลถึงไหนกัน-จะไปให้ไกลทำไมกัน
“จะไปให้ไกลถึงไหนกัน เป็นหนังสือเล่มแรก เป็นประสบการณ์การเดินทางวัยหนุ่ม เราสนใจที่จะเดินทางให้ไกล ไปยังพื้นที่ที่แปลกประหลาด น่าตื่นเต้น จะเห็นว่าเป็นช่วงแรกที่ผมพูดถึงประสบการณ์ตรงๆ เกี่ยวกับพื้นที่นั้นๆ เกี่ยวกับผู้คนที่ได้เจอ เป็นการเดินทางครั้งแรกๆ ของชีวิต
“แต่พอเป็นจะไปให้ไกลทำไมกัน เป็นส่วนที่ 2 เป็นการรวบรวมงานเขียนหลังจากเล่มแรกสัก 10 ปี ผมยังเดินทางเหมือนเดิม แต่อาจจะต้องถามคำถามที่สำคัญมากกว่าจะไปที่ไหนไกลๆ หรือน่าตื่นเต้น เราก็ตั้งคำถามว่าที่ไปๆ มามันมีความหมายอย่างไรบ้าง”
มองโกเลีย จอร์แดน เอเวอร์เรส เป็นความไกลในแง่กายภาพที่เท้าของเขาย่ำไป พอจะเป็นคำตอบได้ว่า เขาไปได้ไกลแค่ไหน ส่วน ‘ทำไม’ เป็นคำถามที่เขามักถามตัวเองก่อนเดินทาง คำตอบมีมากกว่าหนึ่ง เช่น เพื่อรู้จักผู้คน รู้จักวัฒนธรรม ทว่า สุดท้าย คำตอบของทั้งสองคำถามย้อนกลับเข้ามาใกล้ตัวเขากว่าที่คิด
“จะไปให้ไกลถึงไหนกัน ในแง่พื้นที่ เราก็อยากไปในที่ที่ทุรกันดารห่างไกล แต่ผมคิดว่าจริงๆ มันก็มีอยู่ที่หนึ่ง คือข้างในจิตใจเราเอง ที่มันอยู่ใกล้ๆ เรา แต่ไปไม่ถึง และเป็นที่ที่ควรจะไปสำรวจด้วยซ้ำ ส่วนทำไม บางครั้งผมก็คิดว่าการที่เราเดินทางไปไหนต่อไหน เราอาจจะตอบคำถามว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในท้ายสุดสิ่งสำคัญก็เหมือนกับต้องทบทวนชีวิตเราเอง น่าจะตอบคำถามได้ว่าทำไมต้องเดินทาง ไม่ใช่แค่เดินทางเพื่อเพิ่มหลักไมล์ให้ชีวิต แต่มันต้องกลับมาตอบปัญหาของตัวเราเองด้วย”
ไปไกลแค่ไหน สุดท้ายก็กลับมาที่ตัวเราเอง ดูจะเป็นบทสรุปที่สุดแดนได้
เดินทาง ‘ใกล้’
“ขณะที่เดินทางไปข้างนอก เจอเรื่องน่าตื่นเต้น เจอวัฒนธรรมซึ่งแปลกแตกต่างไป แต่ท้ายสุดสิ่งที่เราเห็นน่าตื่นตาตื่นใจมันก็กลับมาตั้งคำถามกับเราว่า เราคือใคร และเราจะเป็นอย่างไรต่อไป”
“ข้างนอกไม่มีคำตอบ?”
“ข้างนอกจะเป็นตัวข้อมูลที่ทำให้เราได้กลับมาตอบข้างใน”
“แล้วคุณเริ่มเดินทางข้างในหรือยัง?”
“ยัง แค่เข้าไปเป็นพักๆ ไม่ได้จริงจัง ผมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากนะ แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะเดินทางข้างใน”
“ต้องเตรียมสัมภาระอย่างไร?”
“สิ่งแรกคือการเตรียมใจ การเดินทางไปข้างนอก เราอาจจะเตรียมใจ เตรียมสัมภาระอะไรบางอย่างเพื่อเจอกับสิ่งที่เราไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่ประสบการณ์ที่เรามีอยู่ก็ช่วยให้เราเตรียมใจ เตรียมตัวได้ง่ายดายขึ้น แต่เนื่องจากว่าเราไม่ค่อยได้เดินทางเข้าไปข้างใน แต่ผมก็ยังคิดว่าสิ่งสำคัญมากๆ คือต้องเตรียมใจ แต่ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมีสัมภาระอะไรบ้างเพื่อที่จะให้เดินทางเข้าไปข้างใน หรืออาจต้องวางสัมภาระทั้งหมดไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยตัวเอง”
เพราะยังเดินทางเข้าไปไม่ ‘ใกล้’ พอ สายตายังไม่คุ้นชินกับความมืดของโลกภายใน เขาจึงยังมองไม่เห็นสิ่งใด แต่เขาบอกผมว่า เมื่อใดที่สายตาปรับตัวเข้ากับความมืดได้ เขาหวังจะได้เห็นความเศร้าและความงามของภูมิทัศน์ภายใน ผมมองเขาและถามว่า
“คุณเชื่อว่าจะเจอความเศร้าข้างใน?”
“ในเบื้องต้นผมคิดว่าผมต้องเจอนะ เป็นด่านแรกที่ผมต้องเจอ แต่ก็หวังว่าจะทะลุผ่านไปสู่ความงามได้ในท้ายที่สุด แต่นี่เป็นการพูดที่ยังอยู่แค่ปากทางเท่านั้นเอง”
‘ความเศร้าเป็นเงาของความจริง’
สุดแดนสารภาพว่า ห้วงความคิดของเขาผูกติดกับความเศร้า ถ้าเป็นดนตรีก็คือดนตรีที่มีท่วงทำนองเศร้าสร้อย หลายเหตุการณ์ที่เคลื่อนผ่านสายตา ความเศร้ามักเคาะประตูให้หยุด กอด แล้วจึงปล่อยให้ผ่านไป ถามว่าทำไม เหมือนไม่มีคำตอบที่แน่ชัด พร่ามัวและลางเลือนเหมือนม่านหมอก...หรือว่าม่านน้ำตา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมิได้หมายความว่า ตัวเขาต้องเศร้าไปด้วย
สุดแดนเคยเขียนวลีหนึ่งในหนังสือว่า ความเศร้าเป็นเงาของความจริง และเขายังคงยืนยัน
“ใช่ ผมคิดอย่างนั้นนะ ความจริงเป็นสิ่งที่น่าเศร้า เช่น ความตาย การจากพราก เป็นความจริงที่ทุกคนต้องเจอ มันก็น่าเศร้านะ แต่ในท้ายที่สุด ถ้าเป็นในทางพุทธ เราอาจพ้นไปจากความเศร้านั้นได้ สำหรับเราในฐานะที่เหตุการณ์หนึ่งๆ มากระทบใจเรา มันก็น่าเศร้า ควรเศร้า แต่เราก็สามารถพ้นไปจากมันได้”
โดยส่วนตัวผม ความเศร้าไม่จำเป็นต้องจัดเรียงพันธะเคมีเดียวกันกับความทุกข์โศก ความระทม สลด หรือน้ำตา หลายต่อหลายครั้งในชีวิตหนึ่ง คนเราหล่อเลี้ยงความเศร้าเอาไว้เพื่อให้มันเก็บรักษาห้วงยามสวยงามไว้ในความทรงจำ ในความเศร้าจึงมีความงาม สุดแดนยอมรับข้อนี้ และในทำนองกลับกัน ในความงามก็มีความเศร้า ...เป็นเศร้าที่งดงาม
“ความงามของพระอาทิตย์ตกดิน มันก็สวยนะ แต่มันก็เศร้า มันทำให้นึกถึงการจากลา”
แต่ในหนังสือ-ปารีส ซินโดรมฯ สุดแดนพยายามเบียดแทรกความเศร้าในตัวอักษรด้วยอารมณ์ขัน เพียงแต่เป็นอารมณ์ขันแบบคนที่มักเย้ยหยันโลกและตัวเอง เขาบอกอย่างนั้น
“ผมไม่ได้เสพติดความเศร้า ผมไม่ได้ต้องการมัน แต่ผมรู้สึกมัน ผมไม่ได้แสวงหามัน แต่เวลาผมเจออะไรแล้วผมรู้สึก ไม่รู้มันคืออะไร วิญญาณที่อยู่ในร่างกายผมมันออกฤทธิ์หรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมไม่ได้เสพติด”
จะไปให้ไกลถึงไหนกัน-จะไปให้ไกลทำไมกัน
บทสนทนาลุกลามออกไปสู่การตั้งคำถามต่อการเดินทางอีกครั้ง ยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำที่การเดินทาง (ภายนอก) เป็นดังที่เป็นทุกวันนี้ ก่อนหน้านั้น การเดินทางแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ ไร้ความโรแมนติก ลำบาก และไม่น่ารื่นรมย์ ปัจจุบัน การเดินทางเกือบจะเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคประสบการณ์ที่ขาดไม่ได้ ว่าแต่การเดินทางเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่
สุดแดนเคยครุ่นคิดต่อคำถามนี้ ครั้งที่เขาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ กลางกรุงปารีส ฝรั่งเศส วูบหนึ่งของความคิด เขาถามตนเองว่า ทำไมพ่อแม่ของเขาจึงไม่เคยต้องการมาเห็นสิ่งที่เขากำลังเห็น มันจำเป็นสำหรับชีวิตทุกคนหรือไม่ การเห็นสุดยอดงานศิลปะ-โมนาลิซ่า ของยอดศิลปิน-ลีโอนาโด ดา วินซี มันทำให้เขาไปได้ไกลหรือคิดได้มากกว่าพ่อแม่หรือไม่ คำตอบคือไม่
กลางแม่น้ำโบราณ-พรหมบุตร รัฐอัสสัม อินเดีย มีเกาะกลางแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกนามมาจุลี (Majuli) กล่าวกันว่า บางคนไม่เคยออกจากเกาะแห่งนี้เลยตั้งแต่เกิดจนตาย
“ผมคิดว่าน่าสนใจนะ มีคนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะตั้งแต่เกิด จนตายก็ยังไม่เคยออกจากเกาะนั้นเลย มันน่าคิดว่าคนเหล่านั้นกับเราซึ่งดูเหมือนจะไปนั่นมานี่ทั่วไปหมด คิดแตกต่างกันอย่างไร ผมคิดว่าบางทีการเดินทางถามว่าจำเป็นมั้ย ก็อาจไม่จำเป็น บางทีการเดินทางของคนที่อยู่บนเกาะนั้น อาจจำลองประสบการณ์พอๆ กับที่เราเดินทางไกลไปทั่วโลก”
แน่นอนว่า ไม่มีใครอยู่ในบ้านตั้งแต่เกินจนตาย ผู้คนบนเกาะต้องไปเดินทางไปตลาด ไปหมู่บ้านอื่น ไปไหนต่อไหนบนเกาะ สุดแดนเชื่อว่า ระหว่างทางคนเหล่านั้นคงมีประสบการณ์ไม่แตกต่างจากนักเดินทางอื่นๆ ต้องพบพานคนแปลกหน้า ประสบการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความคิด
“เพราะฉะนั้นการเดินทางไกลออกไปทั่วโลกอาจไม่จำเป็น แต่การเดินทางออกไปจากที่เดิมของตัวเอง จากที่ที่คุ้นเคย ไปยังที่ที่แปลกแตกต่าง คิดว่าจำเป็น เพราะมันจะทำให้เราเจอประสบการณ์ใหม่หรือว่าตั้งคำถามกับประสบการณ์เดิม ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ
“แต่ถ้าให้พูดในสิ่งที่เราไม่รู้ คนที่ไม่ได้เดินทางทางกายภาพ แต่เดินทางภายใน ซึ่งก็เป็นวิธีการเดินทางแบบหนึ่ง บางทีเขาอาจมีประสบการณ์คล้ายๆ กันก็ได้ แต่ผมไม่รู้”
รากและปีก
นานมาแล้ว ผมเคยเขียนและตั้งข้อสังเกตต่อปีกและรากของมนุษย์ อุปกรณ์ดำรงชีวิตสำคัญ 2 ชนิด ซึ่งโดยสภาพของอุปกรณ์ทั้งสองค่อนข้างแตกต่างกัน ชิ้นหนึ่งสถิตนิ่งอยู่กับที่แต่ช่วยยึดโยงเรากับ ‘ที่มา’ ชิ้นหนึ่งกระพือไหวหนุนส่งเราสู่ ‘ที่ไป’ ที่แปลกกว่านั้นคือ มันดันอยู่ที่เท้าทั้งคู่
ออกจะเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยที่มนุษย์ต้องมีรากอันหยั่งลึกแข็งแกร่ง ตักเตือนไม่ให้หลงลืมรากเหง้า แต่ก็จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนกว่าที่มนุษย์ต้องมีปีกที่แข็งแรง เพื่อเรียนรู้อิสรภาพ ชีวิต และโลก
เชื่อหรือไม่ บางคน ปีกและรากทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นถ้ารากไม่ขาด ปีกก็หัก
“ผมเคยพูดอยู่เหมือนกันว่า การเดินทางมากอาจทำให้เรากลับมาโดยที่ไม่ได้เป็นคนเดิม และการที่ไม่ได้เป็นคนเดิม เราก็อาจคิดต่อบ้าน ต่อประเทศของเราแตกต่างไปจากเดิม ความเศร้า (อีกแล้ว) ข้อหนึ่งคืออาจทำให้เราไม่สามารถอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขเช่นที่เคยเป็น นี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่การเดินทาง...ไม่ได้ทำลายรากเรา แต่ทำให้เรากลับบ้านเราด้วยการเป็นคนใหม่ ซึ่งอาจจะไม่พึ่งพอใจกับบ้านที่เราอยู่ นี่คือข้อแรก
“แต่ผมคิดว่าสำหรับนักเดินทางหลายคนที่เดินทางมากๆ ในท้ายที่สุดอาจกลับไปสู่อีกขั้นหนึ่งคือ เขาจะเข้าใจที่ที่เขาอยู่มากขึ้น คือมันมี 2 ระดับ เดินทางมาก กลับมาแล้วไม่พอใจมัน เกลียดชังมัน มีปัญหากับมัน บางคนอาจจะหยุดอยู่แค่นี้ แต่บางคนที่ไปมากกว่านั้น ยิ่งเดินทางมาก กลับมา ยิ่งเข้าใจบ้าน เข้าใจตัวเอง ในท้ายที่สุดอาจจะกลับเข้ามาเป็นส่วนเดียวกันอีกครั้งหนึ่งก็ได้ และนี่อาจเป็นอุดมคติสูงสุดของการเดินทาง”
ผมถามย้อนกลับไปว่า ในระหว่างทางของรากและปีก เขาอยู่ตรงไหน?
“ผมไม่มีปัญหากับการกลับมาอยู่ที่เดิมนะ เมื่อก่อนเราก็รู้สึกว่า เรากลับมาด้วยสายตาใหม่ เราไม่อาจจะอยู่กับมันได้อย่างแท้จริง แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้เจอปัญหานี้ แต่ผมอาจตอบได้ว่า ถ้าเรามีปีกที่ใหญ่บินไปได้ไกลและมีรากที่มั่นคงแข็งแรง เราจะไม่มีปัญหาเรื่องการกลับมา”
..........
ชีวิตคือการเดินทาง ผมไม่รู้ว่าใครพูดประโยคนี้เป็นคนแรก มันอาจมีอายุเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว แต่มันยังคงจริงเสมอมา เราไม่เคยหยุดเดินทาง กระทั่งความตายก็ยังเป็นเดินทางอีกรูปแบบหนึ่ง ผมอาจเป็นคนขวางโลกที่ไม่ค่อยยอมให้ใครมาคอยกำหนดว่าการเดินทางคืออะไร แต่การเดินทางควรตอบคำถามบางประการแก่ผู้เดินทาง ตรงนี้ผมเห็นด้วยกับสุดแดน
บางคน การเดินทางมากและไกลใช่ว่าจะตอบบางคำถามในชีวิตได้เสมอไป นี่คือ ‘ความเศร้าเป็นเงาของความจริง’ ประการหนึ่ง หรือเปล่า ?
การเดินทางจึงเป็นได้ทั้งสารอาหารจำเป็นต่อชีวิตและเครื่องประดับประดาอัตตาอันไร้ความหมายได้พอๆ กัน ส่วนจะเป็นแบบไหนย่อมเป็นภาระของผู้เดินทาง
…ส่วนจะพกพาความเศร้าไปด้วยหรือไม่ ก็เป็นภาระของผู้เดินทางอีกเช่นกัน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ