แนะรับฟังความเห็นปชช. แก้รัฐธรรมนูญมาตรา190

2 เม.ย. 2556 | อ่านแล้ว 507 ครั้ง

 

เมื่อวันที่ 1 เมษายน เอฟทีเอ ว็อทช์ ออกแถลงการณ์ “แก้รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยต้องไม่ถดถอย ประชาชนไม่ถูกเบียดขับ บทพิสูจน์มาตรา 190” ระบุว่า ตามนายประสิทธิ โพธิสุธน ร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาและ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 314 คน เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 ว่าด้วยการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ โดยตัดสาระสำคัญของมาตราดังกล่าวโดยเฉพาะลักษณะหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่เข้าข่ายต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา กล่าวคือ หนังสือสัญญาที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ, หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต่อจากนี้ไปไม่ต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภานั้น

 

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ ว็อทช์ เห็นว่า การแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ทำให้หลักการประชาธิปไตยถดถอย และต้องดำเนินการอย่างเปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากประชาชน

 

ที่ผ่านมา มาตรา 190 เกิดขึ้นมาเนื่องจากปัญหาที่สะสมอย่างยาวนาน จากการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่แสดงอย่างชัดเจนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย และขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนและฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เพียงแต่นักวิชาการเท่านั้น แต่ภาคประชาสังคมในวงกว้างก็มีจุดยืนต้องการเห็นกระบวนการที่สะท้อนความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น โดยตั้งอยู่บน 3 หลักการสำคัญ คือ 1.บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ 2.ความโปร่งใส-ตรวจสอบได้ และ 3.การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการเจรจา

 

อย่างไรก็ตามสาระของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 ของ ส.ว.และ ส.ส. 314 คน ดังกล่าว เป็นการทำลายกระบวนการประชาธิปไตยซึ่ง จะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทย ถึงแม้ในร่างแก้ไขฯจะเขียนให้ออกกฎหมายลูก ภายใน 1 ปี และเขียนรายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล ก็ไม่มีความหมายใด ๆ เพราะไม่มีข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญต้องรับฟังหรือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันทางงบประมาณ ผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ก็จะไม่เข้าข่าย จึงเท่ากับเป็นเขียนหลอกประชาชนให้รู้สึกดีขึ้น น่าเป็นห่วงว่า ส.ส.จากรัฐบาลทั้งที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน กลับมีทัศนะรังเกียจการมีส่วนร่วมของประชาชน เข้าข่ายเป็นประชาธิปไตยถดถอย

 

แถลงการณ์ระบุต่อว่า การเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ในสาระเช่นนี้ จะเป็นการสร้างอำนาจผูกขาดให้กับฝ่ายบริหาร โดยปิดพื้นที่ประชาธิปไตยทางตรง ที่ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วม และตัดบทบาทของรัฐสภาออกไปโดยเกือบสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ เมื่อครั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ เสนอกฎหมายลูกเข้าสู่สภาเมื่อ พ.ค.2553 ส.ส.พรรคเพื่อไทยเคยวิพากษ์ในสภาอย่างเผ็ดร้อน ถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลในขณะนั้น ที่ตัดหนังสือสัญญาเงินกู้ ไม่เข้าข่ายมาตรา 190 จนทำให้รัฐบาลในขณะนั้น ต้องถอนร่างกฎหมายลูกในที่สุด

 

ข้อกล่าวหาที่ว่า มาตรา 190 ทำให้การเจรจาหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ ล่าช้านั้น เป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไม่เป็นความจริง จากงานศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ว่า หากมีการตราพระราชบัญญัติ ตามมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จะสามารถแก้ไขและคลี่คลายข้อจำกัดที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขปัญหาการใช้มาตรา 190 มาเป็นอาวุธทิ่มแทงพรรครัฐบาลได้ แต่ความเป็นจริงนี้ไม่พูดถึง เนื่องจากแท้ที่จริงชนชั้นนำทุกฝ่าย ต้องการฉวยโอกาสเบียดขับประชาชนออกไปจากพื้นที่ทางนโยบาย

 

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ ว็อทช์ ขอให้ทุกฝ่ายมองเรื่องมาตรา 190 ว่า ไม่ใช่การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างพรรค หรือการขับเคี่ยวกับฝ่ายค้าน แต่เป็น การต่อสู้ระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำทุกฝ่ายที่สมประโยชน์กัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ส่วนรวมที่จะกระทบกับประชาชนโดยตรงในวงกว้าง จึงขอเรียกร้องให้ผู้เสนอแก้ไขมาตรา 190 ออกมาชี้แจงโดยละเอียด และแลกเปลี่ยนกับภาคประชาชนในที่สาธารณะโดยเร็วที่สุด

 

ทั้งนี้การแก้ไขหรือปรับปรุงรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ประชาชนชาวไทย หรือผู้แทนปวงชนชาวไทยย่อมกระทำได้ภายใต้หลักการประชาธิปไตย และด้วยเจตจำนงค์ที่จะผลักดันให้รัฐธรรมนูญเป็นกรอบการปกครองเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่ควรผูกขาดแค่ในรัฐสภาเพียงองค์กรเดียว เนื่องจากฝ่ายการเมืองเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง การแก้ไขจึงไม่ควรเป็นเรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นกระบวนการแก้ไขและปรับปรุงรัฐธรรมนูญ จะต้องมีกระบวนการที่ชัดเจน ในการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่จะต้องประกอบไปด้วย ตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนักวิชาการ กลุ่มประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ จะต้องจัดให้มีการศึกษาอย่างรอบคอบ และจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนเจ้าของประเทศอย่างกว้างขวางและทั่วถึงในทุกภูมิภาค รวมทั้งนำความคิดเห็นนั้นมาประกอบกับเนื้อหาการแก้ไขฯเพื่อให้รัฐสภามีมติต่อไป

 

นอกจากนี้ หากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการปรับเปลี่ยนในสาระสำคัญ จะต้องจัด ให้มีการลงประชามติรายมาตรา เมื่อดำเนินการเช่นนี้แล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับได้ มิเช่นนั้นจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมต่อไปได้

 

ขอบคุณภาพจากไทยรัฐ

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: