เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ประชาไทร่วมกับโครงการสะพาน จัดซีรี่ส์สัมมนา “15 ปีองค์กรอิสระ สำรวจธรรมาภิบาล สำรวจประชาธิปไตย” โดยจัดการสัมมนาถอดบทเรียนภาคการเมืองกับองค์กรอิสระ ภาคธุรกิจกับองค์กรอิสระ และกภาคประชาสังคมกับองค์กรอิสระ โดยวันนี้มีการสัมมนา “ภาคธุรกิจและองค์กรอิสระ การหนุนเสริมเพื่อสร้างธรรมาภิบาล” มีวิทยากร คือ ศ.(พิเศษ) วิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ที่ปรึกษาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน นางวัลลภา แวนวิลเลียนส์วาร์ด ผู้จัดการบริษัท สวนเงินมีมา จำกัด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ดำเนินรายการ
นายวิชา มหาคุณ นำเสนอในแง่มุมกระแสสากล ว่า ภาคธุรกิจไม่ได้อยากจะทุจริตด้วยตัวเองหากเป็นเพราะมีสภาพแวดล้อมเหมาะสม หรือสังคมบีบให้ทำเช่นนั้น แต่ก็มีกลุ่มธุรกิจที่เริ่มลุกขึ้นสู้ เช่น กลุ่มนักธุรกิจคาทอลิก และโปรแตสแตนท์ รวมถึงภาคีองค์การต่อต้านการทุจริต ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเรื่องนี้อย่างแข็งขัน โดยใช้กลไกทางศาสนาและการศึกษา โดยยึดหลักว่าจะไม่มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ขณะนี้ร่วมมือกับสภาหอการค้าไทยและองค์กรเยาวชน 14 องค์กรรณรงค์เรื่องจริยธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสังคมมุสลิมที่ไม่ยอมรับการคอร์รัปชั่น แม้แต่เพียงคิดก็ผิดแล้ว จุฬาราชมนตรีก็รับลูก ป.ป.ช. โดยให้นักวิชาการอิสลามช่วยในการเผยแพร่แนวคิด ทำคู่มือให้โต๊ะอิหม่ามสอนทุกที่ แต่ที่มีปัญหาคือ ศาสนาพุทธ เพราะเรามีหลายองค์กรมาก ไม่สามารถมีองค์กรนำได้
นายวิชากล่าวว่า ไทยได้ให้สัตยาบรรณอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต 2003 แล้ว เป็นประเทศสุดท้าย ในปลายสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอนุสัญญานี้เป็นตัวกำหนดกฎหมายภายในประเทศต่าง ๆ ว่าจะต้องปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะภาคธุรกิจ เมื่อไม่นานนี้มีโอกาสพูดคุยกับองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี เขาระบุเลยว่าตราบใดที่ยังไม่ออกกฎหมายห้ามภาคธุรกิจจ่ายสินบน นักการเมืองจะอาศัยเป็นเหตุเรียกสินบน ปัจจุบันเรามีแต่อำนาจในการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐเรียกสินบน แต่ไม่สามารถทำอะไรกับผู้ให้สินบน
นายวิชากล่าวด้วยว่า กฎหมายเกี่ยวกับการปราบปรามการทุจริตที่ชัดเจนมากคือ ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งกำหนดว่า ผู้บริหารบริษัทต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ได้ควบคุมดูแลเป็นอย่างดีหรือไม่ เรียกว่าเล่นงานคณะกรรมการบริหารบริษัทให้มีความผิดทางอาญาด้วย แม้จะเป็นการให้สินบนนอกประเทศก็ตาม สำหรับประเทศไทยกฎหมายลักษณะนี้ออกได้ยากมาก
สำหรับสถานการณ์ความโปร่งใสในประเทศไทย ปี 2012 องค์กรระหว่างประเทศได้จัดลำดับความโปร่งใสให้ไทยอยู่ลำดับ 88 ของโลก คะแนนที่สอบตกมากที่สุดคือ นักการเมืองบังคับข้าราชการประจำ ให้กระทำการทุจริต ผ่านการโยกย้ายตำแหน่ง ป.ป.ช.เองก็ตระหนักในเรื่องนี้แต่ไม่มีอำนาจจะจัดการเพราะเป็นองค์กรตรวจสอบการทุจริต แต่เรื่องการโยกย้ายเป็นบทบาทของ ก.พ.
ในการพูดคุยกับประเทศญี่ปุ่น เขาได้ลำดับความโปร่งใสลำดับที่ 10 โดยให้กำลังใจไทยว่า เมื่อก่อนญี่ปุ่นแย่กว่าเรามาก เพราะญี่ปุ่นเป็นระบบอุปถัมภ์สุด ๆ ในสมัยซามูไร แต่เหตุที่เปลี่ยนแปลงได้ เพราะถือหลักจริยธรรมเดียวกับฝรั่ง เกาหลีใต้ก็เช่นกันเขาบอกเลยว่าถ้าไม่ทำแบบฝรั่งอยู่ไม่ได้ นั่นคือ แยกให้ออกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าการปราบเป็นเรื่องของการตามหลัง กระบวนการในการป้องกัน การสร้างจิตสำนึกของคนจึงมีความสำคัญมาก
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการสร้างธรรมาภิบาล การต่อต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นมาตรฐานสังคมสมัยใหม่ แต่ต้องการพูดถึงบทบาท สถานะ ขององค์กรอิสระที่มีปัญหา โดยปูพื้นฐานเรื่องกระแสธรรมาภิบาลเข้าสู่เมืองไทยตอนวิกฤต 2540 มีการโปรโมตเรื่องนี้ครั้งใหญ่ ผ่านความเชื่อว่า นักเลือกตั้งโกงกิน นักธุรกิจจ่ายสินบนร่วมมือกับภาคราชการ เนื่องจากหลายธุรกิจใหญ่ล้มลง โดยเราสรุปว่าเพราะไม่มีธรรมาภิบาล เพราะความโลภทางวัตถุไม่ว่านักการเมือง นักธุรกิจ โดยเฉพาะความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่สามารถเอาผิดกับพวกนี้ได้ จึงเป็นที่มาขององค์กรอิสระเหนือรัฐ เหนือกลไกปกติ เพื่อจัดการกับความโลภ
องค์กรอิสระเริ่มเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นความหวังของสังคมว่า จะสร้างเมืองไทยให้สะอาดมากขึ้น 15 ปีผ่านมา บทบาทสถานะขององค์กรอิสระมีปัญหามากมาย ปัญหาแรกคือ องค์กรอิสระมีอำนาจที่ไม่ชัดเจน ไม่สามารถสรุปได้ว่า มีอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ หรือมีอำนาจยุติธรรม เช่น กกต. เป็นทั้งผู้บริหารการเลือกตั้ง ออกระเบียบ แล้วก็เป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิดในการเลือกตั้ง เป็นการรวบอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้งหมดไปให้ กกต. โดยไม่มีการถ่วงดุล
ปัญหาที่สอง องค์กรอิสระมีอำนาจเหนือรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง อำนาจของรัฐไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือตรวจสอบการทำงานขององค์กรอิสระได้ ยกตัวอย่าง ข่าวกฤษฎีกาคณะพิเศษวินิจฉัยว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร อย่างน้อยในช่วงแรก
ปัญหาที่สาม การขาดความยึดโยงกับประชาชน ซึ่งแย่มากขึ้นเยอะมาก ในรัฐธรรมนูญปี 50 ที่มาขององค์กรอิสระ ยกตัวอย่าง กกต.นั้นสรรหาโดย ประธานศาลเป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 2 ตำแหน่งที่ยึดโยงกับประชาชนคือผู้นำฝ่ายค้าน และประธานสภาผู้แทนราษฎร นอกนั้นเป็นการยกความดี คุณธรรม ศีลธรรม มาแต่งตั้งองค์กรอิสระ
ปัญหาที่สี่ องค์กรอิสระ ถูกทำให้เป็นการเมือง (politicized) เยอะมาก หลายคดีเหมือนเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ยกตัวอย่าง กรณี กกต.ชุดวาสนา เพิ่มลาภ ยุคนั้นถูกทำให้เป็นการเมืองสูงมาก มีกรรมการ กกต.ท่านหนึ่งเสียชีวิตเป็นโควตาของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งต้องมีการแต่งตั้งคนมาทดแทน แต่เพื่อดิสเครดิต กกต.ชุดนั้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาบอยคอต ไม่ตั้งคนใหม่
สำหรับทางออกของปัญหานั้น ธนาธรเสนอว่า การทุจริตเป็นเรื่องสามัญมาก ๆ ในระบบทุนนิยมแม้แต่ในประเทศทุนนิยมพัฒนาแล้ว หากให้เสนอวิธีการให้เกิดธรรมาภิบาลในสังคม ลดการทุจริตให้น้อยลง มีตัวเลือกเชิงนโยบาย คือ 1.นำรัฐออกจากตลาด ไม่ว่าการรถไฟ ท่าอากาศยาน วิธีการไม่ให้เกิดการทุจริตในวงราชการคือ ทำให้ราชการไม่มีอำนาจ หรือ 2.การกระจายอำนาจ ทำให้งบประมาณออกจากรัฐบาลกลางให้มากที่สุด ทำให้งบประมาณสู่ท้องถิ่น แล้วให้จัดการกันเอง โดยความเชื่อที่ว่า งบประมาณเล็กลง ท้องถิ่นใกล้ชิดกันมากขึ้นก็จะจัดการการทุจริตได้ เพราะการเมืองท้องถิ่นต้องใช้ความเชื่อถือ ความสัมพันธ์กันมากกว่าระดับชาติ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการทำให้กระบวนการกระบวนการยุติธรรมปกติ มีผลบังคับใช้จริง กับผู้ที่ทำการทุจริต
“เพราะองค์กรอิสระนั้นอิสระจากประชาชน และเราไม่ต้องการแบบนั้น ถ้ากระบวนการปกติทำไม่ได้ องค์กรอิสระก็ทำไม่ได้ เพราะมันอยู่ในโครงสร้างแบบเดียวกัน วัฒนธรรมอุปถัมภ์แบบเดียวกัน ผมจึงอยากเสนอให้องค์กรยุติธรรมใช้งานได้จริง” ธนาธรกล่าว
ด้านนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กล่าวว่า สตง.ถูกกำหนดให้อยู่ในบริบทค่อนข้างเล็กเฉพาะเพียงการตรวจสอบเงินแผ่นดินซึ่งก็คือเงินประชาชนทั้งชาติ ซึ่งบัญชีการเงินก็มีปัญหาเรื่องทุจริต ส่วนหนึ่งทุจริตกับเงินในบัญชีโดยตรง จัดเก็บไม่ครบถ้วน ไม่นำส่ง อีกส่วนหนึ่งคือ การใช้จ่ายเงินในส่วน “จัดซื้อจัดจ้าง” เรามีปัญหาที่ยิ่งใหญ่คือ การจัดซื้อแบบมีประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีประสิทธิภาพ ความทุกข์ยากของประชาชนคือเหยื่ออันโอชะของพวกที่เข้ามาจัดซื้อจัดจ้าง สตง.พยายามหาทางออกในการแก้ปัญหา เรื่องที่ตรวจพบนั้นก็หวังว่าจะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ใช้เวลารวดเร็วพอสมควร แต่ในทางความเป็นจริง สตง.ต้องเป็นภาระนำสืบอย่างมากมาย และใช้เวลายาวนาน และยังไม่ได้มีอำนาจเหมือนฝ่ายบริหารที่จะยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อไป กว่าจะเอาเรื่องได้ ก็เสียหายไปอีกมาก
“ส่วนภาคเอกชนจะมีส่วนช่วยหนุนธรรมาภิบาลได้ เพราะท่านพบกับปัญหาด้วยตัวท่านเอง และจะรู้ด้วยว่าจุดไหนเป็นปัญหา มากน้อยอย่างไร แต่ต้องกล้าพอที่จะให้ข้อมูล” พิศิษฐ์กล่าว
ขณะที่ นางวัลลภา แวนวิลเลียนส์วาร์ด กล่าวว่า องค์กรอิสระกับความคิดอิสระเป็นเรื่องเดียวกัน ความคิดอิสระในสังคมไทย ย้อนไปถึงยุคเรียกร้องประชาธิปไตย 2516 เรามีความคิดอิสระ กระแสประชาธิปไตยเบ่งบาน มีคำว่า public intellectual เป็นหน่ออ่อนให้กับ รัฐธรรมนูญ 2540 โดยทั่วไปสังคมมี 3 ส่วน รัฐ ตลาด สังคม ถ้าได้สมดุลกันเป็นเรื่องที่ดี และไม่ใช่เพียงเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเดียว แต่สังคมยังต้องมองในภาพรวมและตั้งคำถามกับการพัฒนาแบบที่ผ่านมา เราต้องการผู้ประกอบการสังคมใหม่ ๆ ที่คิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เน้นการเติบโตของกำไรอย่างเดียว จะมีทางเลือกอย่างไร ให้รัฐไม่ใหญ่โตเกินไป ธุรกิจไม่ใหญ่โตเกินไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ