ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชุมชนอ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช กับบริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ธุรกิจเชื้อเพลิงรายใหญ่ของโลก ที่ต้องการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างศูนย์สนับสนุนการปฏิบัติงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย จบลงด้วยการที่เชฟรอนประกาศยุติโครงการไปเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ส่วนสำคัญคือการที่คนท่าศาลาลุกขึ้นมารวมตัวปกป้องทรัพยากรท้องถิ่นและอู่ข้าวอู่น้ำของตน
การคัดค้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของคนท่าศาลา กลายเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองและศูนย์ศึกษานโยบายเพื่อการพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิชีววิถี ทำการศึกษาเรื่อง ‘ความยุติธรรมเชิงนิเวศน์ : กรณีศึกษาท่าศาลา’ เพื่อเป็นแนวทางการศึกาความสมดุลและความเป็นธรรมของการพัฒนาระหว่างมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
จากการศึกษาในประเด็น ‘ชุมชนท่าศาลากับการพัฒนาที่ยั่งยืน’ ของ ดร.เขมรัฐ เถลิงศรี อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า อ่าวท่าศาลามีความยั่งยืนครบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมองหาจากชุมชนอื่นได้ยาก ถือเป็นอัตลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ สืบเนื่องจากการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่อาศัยตั้งแต่เทือกเขาหลวงจนถึงทะเลมีลักษณะเป็นเครือญาติ พึ่งพาอาศัยกันในแบบที่เรียกว่า เขา-ป่า-นา-เล ผนวกกับภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เอื้อให้เกิดการช่วยเหลือค้ำจุนระหว่างชาวประมงด้วยกัน
“หากอำนาจทุนจากภายนอกมาแสวงหาประโยชน์ในชุมชน อัตลักษณ์ทั้ง 3 ส่วนนี้อาจหายไป ผู้คนที่นี่จะไม่รู้สึกว่ต้องอยู่กันแบบเครือญาติอีกแล้ว ความรู้สึกในการอนุรักษ์ไว้ซึ่งเศรษฐกิจแบบพึ่งพากันในชุมชนก็จะหายไปด้วย ทำให้แรงงานจากข้างนอกเข้ามาในชุมชน ขณะที่แรงงานภายในก็จะต้องออกไปทำมาหากินข้างนอก เพราะการประกอบอาชีพดั้งเดิมในท้องถิ่นไม่หายไป การพึ่งพากันแบบเครือญาติก็จะหมดไป และถามว่าคนต่างถิ่นที่เข้ามาจะยึกหลักศาสนาอิสลามหรือไม่” ดร.เขมรัฐกล่าว
ความอุดมสมบูรณ์ของท่าศาลาจนได้ชื่อว่า ‘อ่าวทองคำ’ ยังถูกขับเน้นให้ชัดเจนขึ้นด้วยงานศึกษาเรื่อง ‘อาชีพประมงพื้นบ้าน: ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย’ ของ ดร.สิทธิเดช พงศ์กิจวรสิน ที่พบว่า อาชีพประมงพื้นบ้านของชาวนครศรีธรรมราช มีมูลค่าโดยรวมแล้วกว่า 500 ล้านบาทต่อปี และเมื่อรวมกับอาชีพต่อเนื่องอื่นๆ เช่น ผู้ขายวัตถุดิบในการต่อเรือ ผู้จำหน่ายน้ำมัน เป็นต้น ยังสร้างรายได้เพิ่มเติมอีก 280 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจปลายน้ำที่นำผลผลิตจากประมงพื้นบ้านไปใช้ก็มีมูลค่าสูงถึง 1,360 ล้านบาท หากโครงการขนาดใหญ่ด้านปิโตรเลียมเข้ามาอาจสร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ ดร.สิทธิเดช กล่าวว่า
“เศรษฐกิจในพื้นที่ท่าศาลาถือว่ามีมูลค่าเพิ่มมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและรายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับชาวบ้านจำนวนมาก ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อชาวบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชฟรอนจะประกาศยุติโครงการและส่งหนังสือยืนยันไปยังเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ทว่า ในส่วนของรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรืออีเอชไอเอ (Environmental Health Impact Assessment : EHIA) ของเชฟรอนยังคงมีเงื่อนไขการขอส่งรายงานอีเอชไอเอฉบับสมบูรณ์ไปยัง สผ. เพื่อให้ดำเนินการพิจารณาต่อ ทำให้ชาวท่าศาลา เครือข่ายประชาสังคม และนักวิชาการ ยังคงไม่มั่นใจว่า การประกาศยุติโครงการของเชฟรอนเป็นไปเพื่อลดแรงต้านและจะเดินหน้าโครงการต่อเมื่อถึงจังหวะเหมาะหรือไม่
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ