เปิดมิติรักษาเด็กพิการทางการเคลื่อนไหวด้วย Vojta

28 ก.พ. 2556 | อ่านแล้ว 5428 ครั้ง


 

เทคนิคVojta เป็นเทคนิคที่พัฒนาตั้งแต่ปี 1950 หรือ 1960 โดยกุมารแพทย์ทางระบบประสาทชื่อ ศาสตราจารย์ นพ.วาคาลฟ โวจต้า และได้รับการสนับสนุนจาก ศาสตราจารย์ นพ.ธีโอดอร์ เฮลบรึกเก้ แห่งสถาบัน Kinderzentrum Muenchen (Children's center) เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมณี  จนมีการใช้อย่างแพร่หลายในยุโรปตั้งแต่ปี 1980 โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนีทั้งในด้านการตรวจคัดกรองหาเด็กแรกเกิดที่เสี่ยงต่อการมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้า และปัญหาโรคสมองพิการ โดยนักกายภาพบำบัดจะใช้มือกด หรือยืดตามจุดต่างๆ เพื่อกระตุ้นผู้ป่วยให้มีการเคลื่อนไหวลำตัวและแขนขาแบบอัตโนมัติ (reflex Locomotion) ตามจังหวะการกระตุ้นจากผู้ฝึก ส่งผลให้กล้ามเนื้อได้ใช้งาน มีความแข็งแรง สมองได้เรียนรู้รูปแบบวิธีการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง เกิดการควบคุมการทรงท่าของร่างกายและการประสานการเคลื่อนไหวของแขนขาดีขึ้น นอกจากนี้ยังได้รวบรวมรูปแบบของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเด็ก ซึ่งช่วยให้แพทย์ทำการวินิจฉัยเด็กที่มีความผิดปกติได้เร็วขึ้นด้วย เทคนิค Vojta สามารถประยุกต์ใช้ได้กับผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบประสาท เช่น สมองพิการ อัมพาตครึ่งซีก อัมพาตครึ่งท่อน รวมทั้งกลุ่มที่มีปัญหาระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น ความผิดปกติของกล้ามเนื้อท าให้ข้อผิดรูป (hip dysplasia) เป็นต้น

 

 

จากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนโรงพยาบาลกระดูกและข้อ มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 ในครั้งนั้นกรมการแพทย์ขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ อธิบดีกรมการแพทย์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และผู้อำนวยการศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ร่วมตามเสด็จ ซึ่งโรงพยาบาลกระดูกและข้อ มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ใช้เทคนิคVojta ในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวลำตัวและแขนขาแบบอัตโนมัติ (reflex Locomotion) ให้กับเด็กชายชาวไทย น้องซายเค่อร์ ลี ลูกชายของคุณวอลเตอร์ ลี และสอนให้แม่นำมาใช้ฝึกน้องซายทุกวันส่งผลให้มีกำลังกล้ามเนื้อมากขึ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นงานด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กพิการแขนขาขาดแต่กำเนิด ด้วยความร่วมมือระหว่างกรมการแพทย์ กับมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก

 

 

ทั้งนี้ในเยอรมนี จัดให้วิธีนี้เป็นมาตรฐานในการดูแลเด็กสมองพิการ ส่วน ในประเทศไทยยังมีผู้ที่ใช้เทคนิคนี้น้อยมาก กรมการแพทย์โดยศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูฯ จึงจัดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการบำบัดรักษาเด็กพิการทางการเคลื่อนไหวด้วยเทคนิค Vojta therapy ขึ้น โดยมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กได้แนะนำให้กรมการแพทย์ติดต่อกับองค์กรวอยตาสากล จัดให้มีการอบรมดังกล่าว แบ่งการเรียนออกเป็น 4 ช่วง ห่างกันช่วงละ 6 เดือน จะมีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติใช้เวลาทั้งหมด 2 ปี ในรุ่นแรกมีผู้ที่ผ่านการอบรมทั้งแพทย์ และนักกายภาพบำบัดจากทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 25 คน นอกจากนี้ยังมอบหมายให้สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี จัดอบรมแก่แพทย์จำนวน 20 คน ให้สามารถวินิจฉัยความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวด้วยเทคนิควอยตาได้เช่นกัน นับเป็นก้าวใหม่ของการพัฒนาเทคนิคการรักษาความพิการครั้งแรกในประเทศไทย ให้สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น จากเดิมที่เคยวินิจฉัยได้ในเด็กอายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไป จะสามารถเริ่มวินิจฉัยได้ในเด็กอายุแค่ 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ได้รับการบำบัดรักษาเร็วขึ้น

 

 

แพทย์หญิงวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวในพิธีมอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการอบรมฯ ว่า หลักการของเทคนิค Vojta จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการกระตุ้นด้วยมือ มีทั้งแรงกด และการยืดไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้เกิดการตอบสนอง และการเคลื่อนไหวของแขน ขา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดท่าเด็กให้อยู่ในท่าจำเพาะในท่าทางที่ถูกต้อง และการใช้มือส่งแรงกดไปตามจุดต่างๆ ในตำแหน่ง ทิศทาง และองศาที่ถูกต้อง กระตุ้นให้มีการประสานสัมพันธ์กันของกล้ามเนื้อก่อให้เกิดกระบวนการเคลื่อนไหว จึงมีผลต่อการทรงตัวของร่างกายและการเคลื่อนไหวของแขนขา เป็นการใส่ข้อมูลเพื่อให้สมองเรียนรู้รูปแบบวิธีการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง หากทำการกระตุ้นการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติแบบซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างเส้นประสาทส่วนปลายสมอง และไขสันหลังขึ้นใหม่ได้ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงขวบปีแรกของการเติบโต

 

 

นอกจากนี้เทคนิคVojta ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้กับผู้ที่มีปัญหาทางการเคลื่อนไหวได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เด็กสมองพิการ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งท่อนล่าง อัมพาตทั้งตัว ปลายประสาทถูกกดทับ และผู้ป่วยที่เกี่ยวกับระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เช่น กระดูกสันหลังคด คอเอียง การสร้างอย่างผิดรูปของกระดูกและข้อต่อ ผู้ป่วยแขนขาขาด เด็กพิการแขนขาขาดหายแต่กำเนิด รวมถึงผู้ที่มีปัญหาการหายใจ การเคี้ยว การกลืนด้วย แต่การบำบัดรักษาด้วยเทคนิคVojta จะมีความแตกต่างการรักษาแบบกดจุด หรือการรักษาด้วยการบำบัดชนิดอื่น ๆ รวมถึงการนวดกดจุดแบบจีน เพราะใช้วิธีกระตุ้นเฉพาะจุด และเน้นกระตุ้นส่วนประสาทระบบการเคลื่อนไหวที่มีปัญหา ไม่เกี่ยวกับเส้นลมปราณ ซึ่งก่อนการรักษา แพทย์จะมีการประเมินและวิเคราะห์ก่อนปัญหาที่มีอยู่ว่าเกิดจากอะไร เพราะถ้ากดผิดจุดหรือผิดวิธี นอกจากการรักษาจะไม่ได้ผลแล้วอาจนำไปสู่อันตรายแก่ผู้ที่ได้รับการรักษาได้

 

 

ผู้ที่ผ่านการอบรมและได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ถือเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีความพร้อมในการให้บริการเทคนิคVojta ในหน่วยงานที่ตนเองสังกัดอยู่ไม่ว่าจะเป็นที่ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูฯ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และหน่วยงานอื่นๆ เช่น สวางคนิวาส สภากาชาดไทย, รพ.สมิติเวช, ม.ขอนแก่น, รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์, รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์, รพ.จุฬาลงกรณ์ , สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์, ม.สงขลานครินทร์, รพ.สำโรงการแพทย์ มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการ, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, สถาบันราชานุกูล และ รพ.รามาธิบดีฯลฯ นับเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยให้กับเด็กที่มีความผิดปกติในการเคลื่อนไหว ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆของประเทศด้วย

 

 

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ โทร. 0 25914242 หรือ ฝ่ายประชาสัมพันธ์กรมการแพทย์ 0 25918254

 

 

*************************************************

 

 

ที่มา  คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

http://www.pt.or.th/news_detail.php?news_id=347 สภากายภาพบำบัด

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000108985 ผู้จัดการออนไลน์

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: