เอ็นจีโออีสานตั้งทีมจับตา งบจัดการน้ำ3.5แสนล้าน

10 ก.พ. 2556 | อ่านแล้ว 893 ครั้ง

 

หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการคัดเลือกกรอบแนวคิด เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขแก้ไขปัญหาอุทกภัยของ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตามที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ) เสนอ

 

นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน กล่าวว่า รัฐบาลมีแนวทางที่จะจัดการน้ำทั้งระบบ โดยเสนอให้มีการรวมหน่วยงานเกี่ยวกับเรื่องน้ำ แล้วจัดตั้งกระทรวงน้ำ และนำไปสู่การออกกฎหมายน้ำขึ้นมาบริหารจัดการน้ำ

 

           

           “ในกฎหมายน้ำ เราจะเห็นว่าน้ำเป็นของรัฐ ผู้ที่จะใช้น้ำหรือเข้าถึงน้ำได้ก่อนก็คือ กลุ่มทุนและโครงการขนาดใหญ่ สถานบริการ ส่วนเกษตรกรก็เป็นลักษณะ Contract farming ที่มีเงินซื้อ ดูกรณีมาบตาพุดที่ทุนได้น้ำไปใช้ก่อนเรา” นายสุวิทย์กล่าว

 

นายสุวิทย์กล่าวต่อว่า จากการติดตามโครงการพัฒนาในภาคอีสานของเอ็นจีโอพบว่า มีแผนการลงทุนภาคอุตสาหกรรม เช่น โครงการเหมืองแร่โปแตช จำนวน 10 จังหวัด รวมเนื้อที่กว่า 1.3 ล้านไร่ ซึ่งกลุ่มทุนมีความต้องการที่จะใช้น้ำอย่างมหาศาล และจะส่งผลกระทบต่อการแย่งน้ำในชุมชนเป็นบริเวณกว้าง ดังนั้นนโยบายการจัดการน้ำของรัฐบาลจึงเป็นการเอื้อประโยชน์ เพื่อจัดหาน้ำให้กับเมกกะโปรเจ็ค

 

 

            “ 1 ใน 6 บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท คือ บริษัท ITD-POWERCHINA JV อยู่ในกลุ่มอิตาเลียนไทย และเหมืองแร่โปแตชที่อุดรฯ บริษัทอิตาเลี่ยนไทย ก็กำลังยื่นขอประทานบัตรเพื่อประกอบกิจการ โดยมีแผนการใช้น้ำจากโครงการผันน้ำที่หนองหาน-กุมภวาปี ซึ่งย่อมมีการเอื้อประโยชน์ต่อกันอย่างชัดเจน”

 

 

เลขาธิการกป.อพช.อีสานยังสะท้อนถึงปัญหาการจัดการน้ำของรัฐ ที่ล้มเหลวในอดีต เช่น โครงการ โขง ชี มูล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้านถูกทำลาย จนนำมาสู่การชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน ทั้งนี้ เขามีข้อเสนอว่า รัฐบาลควรมีแนวทางการจัดการน้ำให้สอดคล้อง ตามความเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ

 

 

             “รัฐบาลจะต้องส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมที่เป็นธรรม อย่างเท่าเทียมของคนในชุมชน ก่อนนำไปสู่การตัดสินใจ ซึ่งในส่วนของเอ็นจีโอ และชาวบ้านได้ปรึกษากันว่าจะตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด” เลขาธิการกป.อพช.อีสาน กล่าว

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: