สภาพเศรษฐกิจและการเตรียมตัวเป็นประเทศอาเซียน ทำให้เกิดโครงการใหญ่ๆ ผุดขึ้นตามมาไม่รู้จบ จนรัฐบาลหมายตาหลายพื้นที่เพื่อจัดตั้งเป็นเศรษฐกิจพิเศษ เช่น มุกดาหาร กาญจนบุรี หรือทวายที่กำลังเตรียมความพร้อมอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ การที่จะพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ใดเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีองค์ประกอบที่สำคัญหลายปัจจัย ที่สำคัญที่สุดคือทำเลที่เอื้อต่อระบบโลจิสติกส์ ที่สามารถเชื่อมโยงวัตถุดิบกับพื้นที่ที่มีศักยภาพอื่นๆ ในลักษณะของการเกื้อหนุนกันและกันได้
ประการต่อมาคือความพร้อมของปัจจัยการผลิต ได้แก่ ทุน วัตถุดิบ แรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะคำว่า “ทุน” จะเกี่ยวโยงถึงความสามารถในการสร้างความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะมาลงทุนในเขตนั้นๆ ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่
ส่วนปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ คือ การสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎระเบียบและนโยบายภาษีที่เอื้อประโยชน์และช่วยลดต้นทุนสินค้าที่จะส่งออกให้สามารถสู้กับตลาดโลกได้ และการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ เช่น สิทธิพิเศษด้านการลงทุน ,ระบบศุลกากร การส่งออก หรือศูนย์ One Stop Services ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ สั่งการ และอนุมัติแผนการดำเนินงานได้ เป็นต้น
พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษฯยังถูกดอง
ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา และพยายามผลักดันให้ร่างดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้รับการต่อต้านจากภาคประชาชนอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าเห็นความเป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และเป็นการออกกฎหมายเพื่อสนองนายทุนต่างชาติ จนทำให้ต้องชะลอจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ กรอบแนวคิดในการยกร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ คือการสร้างกฎหมายกลางขึ้น ที่แยกองค์กรกำหนดนโยบายเขตพิเศษออกจากองค์กรบริหารจัดการเขตพิเศษ องค์กรบริหารฯ จะมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ สามารถให้บริการอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สามารถครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ได้หลากหลาย มีการวางแผนเรื่องระบบสาธารณูปโภค การวางผังเมืองที่สอดคล้องกับพื้นที่ ตลอดจนการกำหนดสิทธิพิเศษแก่ผู้อยู่อาศัย และผู้ประกอบการ ทั้งนี้การดำเนินการของเขตพิเศษต้องสอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ในส่วนความคืบหน้าล่าสุดการนิคมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เองได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) หยุดการพิจารณาร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ.... (วาระ 3) ชั่วคราว เนื่องจาก คณะผู้บริหาร กนอ.มีความเห็นว่า ร่างดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะได้มีการปรับเปลี่ยนอาณาเขต พื้นที่จากการที่เขตเศรษฐกิจพิเศษครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบล หรืออำเภอ หรือจังหวัด มาเป็นพื้นที่ล้อมรั้ว และต้องจัดหาพื้นที่เอง ซึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษก็จะเป็นเพียงแค่มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่ภายในเท่านั้น
กนอ.ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในความจริงแล้ว นิคมอุตสาหกรรมเป็นเพียงแค่หนึ่งองค์ประกอบในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเท่านั้น จึงต้องการให้เขตเศรษฐกิจพิเศษคลุมพื้นที่ทั้งตำบล หรืออำเภอ หรือจังหวัด แล้วแต่กรณี
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดเชียงราย
จุดเริ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2545 ได้เห็นชอบให้มีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในพื้นที่นำร่อง 3 พื้นที่ก่อน ได้แก่ ที่อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เนื่องจากเห็นว่า พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อนำไปสู่การเป็นประตูการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับเชียงราย เป็นประตูเศรษฐกิจที่สำคัญ จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต การค้า การลงทุน และการคมนาคมขนส่งของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยกำหนดบทบาทเมืองชายแดนแต่ละเมือง ดังนี้
- แม่สาย เป็นศูนย์กลางการค้า บริการ และการท่องเที่ยว และเป็นประตูเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
- เชียงแสน เป็นประตูการค้าเชื่อมกับจีนตามแนวลำน้ำโขง และเป็นศูนย์กลางเขตเศรษฐกิจพิเศษ
- เชียงของ เป็นพื้นที่อยู่ในเส้นทางถนนเชื่อมไปจีนโดยผ่าน สปป.ลาว
กระทั่ง เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขต ต.ศรีดอนชัย และ ต.สถาน อ.เชียงของ ในเนื้อที่ประมาณ 16,000 ไร่ บริเวณทุ่งสามหมอน ต่อมาได้ปรับพื้นที่คงเหลือ นิคมอุตสาหกรรม จำนวน 6,250 ไร่ ซึ่งอ้างกันว่า หากสามารถดึงการลงทุนจากประเทศจีนมายังนิคมอุตสาหกรรมที่ อ.เชียงของ ไม่เพียงจะเป็นการสร้างงานให้กับคนในพื้นที่แล้ว ยังสอดรับกับการก่อสร้างถนนสาย R3A ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างเชียงของ-หลวงน้ำทา-เชียงรุ้ง-คุนหมิง ซึ่งในปี 2555โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จะแล้วเสร็จ
โดยเน้นอุตสาหกรรมที่มีการเพิ่มมูลค่าโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าในการผลิตและเป็นอุตสาหกรรมสะอาด ประกอบด้วย แปรรูปเกษตรและอาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอขั้นปลาย บริการขนส่ง เครื่องใช้ไฟฟ้า/electronics ยา/เครื่องสำอางสมุนไพร อุปกรณ์และเครื่องจักรกลการเกษตร หัตถกรรม/OTOP และแปรรูปไม้และการพิมพ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดึงนักลงทุนเข้าลงทุนในพื้นที่ถือว่ายังล่าช้ามาก
ช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาอัตราเศรษฐกิจของเชียงรายเติบโตสูงเป็น 6 เท่า โดยปี 2554 มีปริมาณการค้าชายแดนสูงถึง 29,771.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.25จากปีก่อน โดยเป็นมูลค่านำเข้าราว 3,600 ล้านบาท และมูลค่าส่งออกกว่า 26,000 ล้านบาท จึงทำให้เชียงรายได้ดุลการค้าจากการค้าขายผ่านชายแดนที่ด่านถาวร 4 จุดใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเชียงแสน และเชียงของตรงข้ามกับฝั่งลาว และอำเภอแม่สายตรงกับอำเภอท่าขี้เหล็กของพม่า นอกจากนี้ยังมีจุดผ่อนปรนอีก 10แห่ง รวมถึงธุรกิจและธุรกรรมกับ 3 ประเทศ คือ พม่า จีน และลาวนั้นก็คึกคักและเต็มไปด้วยขบวนรถบรรทุกสินค้าที่แล่นผ่านด่านแบบล้นคัน ซึ่งสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยเป็นที่ต้องการอย่างสูงในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้เพราะได้รับความเชื่อมั่นว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี แม้จะมีราคาสูง ขณะที่สินค้านำเข้าผ่านชายแดนส่วนใหญ่คือพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะผลไม้และดอกไม้จากจีนที่คิดเป็นปริมาณกว่าร้อยละ 80ของสินค้าทั้งหมดทีเดียว ปัจจุบันเชียงรายกำลังเพิ่มความคล่องตัวของระบบขนส่งและโลจิกติกส์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะรัฐบาลไทยและลาวกำลังดำเนินโครงการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เพื่อข้ามแม่น้ำโขง บริเวณเชียงของ-ห้วยทราย ซึ่งจะทำให้ปัญหาความยุ่งยากจากการขนส่งบนแพขนานยนต์ถูกกำจัดออกไป
อานิสงส์ของความร่วมมือในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หรือข้อตกลงทางการค้า FTAของไทยและจีน รวมถึงการผลักดันให้เชียงรายเป็นประตูสู่การค้าของกลุ่มภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS(จีนยูนนาน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไทย) และ กลุ่มBIMSTEC (อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ศรีลังกา ภูฏาน เนปาล ไทย) ส่งผลให้เชียงรายที่เคยสงบเงียบต้องลุกขึ้นมารับมือกับความพลุกพล่านที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ด้านหนึ่ง เศรษฐกิจที่เติบโตจะสร้างบรรยากาศที่คึกคักให้กับเมือง การหลั่งไหลของแรงงานต่างชาติ และต่างเมืองก็จะนำมาซึ่งสีสันใหม่ที่ส่งพลังงานทั้งด้านบวกและด้านลบ เช่น ปัญหาความแออัด อาชญากรรม หรือกระทั่งการจราจรที่คับคั่ง และนอกเหนือจากการค้าและการลงทุนแล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการยังเป็นที่น่าจับตา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีแผนเปิดตลาดการท่องเที่ยวของเชียงรายเพื่อให้เป็นจังหวัดต้นแบบการท่องเที่ยวรับ AEC เพราะเชียงรายมีจุดเชื่อมโยงกับสิบสองปันนา ฝั่งโขง พม่า รวมถึงการผลักดันสายการบินต่างประเทศให้บินตรงจากประเทศต่างๆ มาสู่เชียงรายให้มากขึ้น อาทิ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยปัจจุบัน เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากมีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว การปรับปรุงมาตรฐานและรูปแบบสินค้าให้มีความเป็นนานาชาติมากขึ้น ควบคู่กับรักษาความเป็นพื้นเมือง การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก การปรับปรุงเรื่องสุขอนามัยและความสะอาด ก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มรายได้จากการทอ่งเที่ยวเป็น 1 แสนล้านบาท และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้เฉลี่ย 2 ล้านคนต่อปีภายในปี 2558
รื้อเขตเศรษฐกิจพิเศษนครแม่สอด
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษนครแม่สอด และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดนที่สอดคล้องและสามารถเดินหน้าควบคู่กันได้ เพราะเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่นในลักษณะเดียวกัน โดยแนวความคิดเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2547 ในสมัย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนแม่สอด ตามมติ ครม. เพื่อให้แม่สอดเป็นเมืองเศรษฐกิจ-การค้าชายแดน เพราะมีศักยภาพและความพร้อมของเมืองสูงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ-การลงทุนภาคอุตสาหกรรม-ภาคเกษตร และการท่องเที่ยว และได้มีการจัดทำร่างกฎหมาย ขึ้นมา 1 ฉบับ ในสมัย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ยังไม่ทันผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพราะได้สิ้นสุดวาระของรัฐบาลไปก่อน
ต่อมาในปี 2550 ผู้บริหารท้องถิ่น-ภาครัฐและเอกชนและประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สอด ได้มีการทำประชาคมรวมทั้งประชาพิจารณ์ที่จะสานต่อนโยบายของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย และประชาชนใน อ.แม่สอด เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยจังหวัดตากได้มอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาและวิจัยความพร้อมของพื้นที่และประชาชน จนได้ข้อสรุปว่าแม่สอดมีศักยภาพและความพร้อมในทุกด้านที่จะพัฒนาไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จึงได้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ“นครแม่สอด” ตลอดจนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร ก็ได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน
ต่อมา จังหวัดตากและเทศบาลเมืองแม่สอดในขณะนั้น ได้ทำหนังสือเสนอรัฐบาลในสมัยของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของไทย นำกลับมาพิจารณาทบทวนเพื่อจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษนครแม่สอด โดยผ่านไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทย แต่รัฐบาลได้หมดวาระลงเสียก่อน
ปี พ.ศ. 2552 รัฐบาลในขณะนั้น ได้ดำเนินการต่อเนื่องเพื่อให้เกิดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษนครแม่สอด นำเสนอจนผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา และผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว
และต่อมาในช่วงกลางปี 2554 น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขึ้นดำรงนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารท้องถิ่น ในอำเภอแม่สอด รวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หอการค้าจังหวัดตาก-สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก นักธุรกิจ ได้เดินทางเข้าพบเพื่อขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษนครแม่สอด และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยขอให้ดำเนินการควบคู่พร้อมๆกัน ตามนโยบายเดิมของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือน พล.อ.เต็งเส่ง ประธานาธิบดีของพม่า จนนำไปสู่การเปิดด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี หลังจากที่พม่าได้มีการปิดด่านพรมแดนเมียวดี มาเป็นระยะเวลากว่า 1ปีเศษ
นอกจากนี้พม่ายังถือโอกาสในการเปิดพรมแดนครั้งนี้ทำพิธีเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี อย่างเป็นทางการ และเมื่อพม่าเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี ที่อยู่ตรงข้ามและทำการค้าชายแดนกับ อ.แม่สอด ทำให้รัฐบาล ได้นำเรื่องการพิจารณาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด กลับมาเร่งดำเนินการ เพื่อรองรับให้นครแม่สอด เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าชายแดน-การลงทุน-การท่องเที่ยวระหว่างประเทศศูนย์กลางภูมิภาคบนระเบียงเศรษฐกิจเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก East-West Economic Corridor (EWEC) เป็นพื้นที่รองรับประชาคมอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นใน ปี พ.ศ. 2558
จนเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2556 มีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร อย่างเป็นทางการครั้งแรกของปี 2556 ของกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ กำหนดพื้นที่แม่สอด จังหวัดตาก ยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เตรียมพิจารณาในครั้งนี้
เตรียมเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 กระทรวงการคลังไทยได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนไทยในการพัฒนาโครงการทวาย โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นประธานคณะทำงาน โดยมีคณะทำงานประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ผู้แทนธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Thailand) และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
และในวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding “MOU”) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการสนับสนุนและผลักดันโครงการทวาย ซึ่งมีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ได้รับสิทธิในการพัฒนาโครงการจากรัฐบาลพม่า โดยกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐอย่างเป็นทางการ
ที่มา http://goldenworld-inter.com/home/index.php?option=com_content&view=article&id=410:2012-01-19-01-20-06&catid=4:2011-05-05-07-25-46&Itemid=5
http://www.creativethailand.org/th/creativecity/creativecity_detail.php?id=43
http://daweidevelopment.com/index.php/th/about-ddc/introduction
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ