จี้แก้พฤติกรรมบริโภค เร่งคุมอาหาร-ขนมเด็ก

18 ม.ค. 2556 | อ่านแล้ว 669 ครั้ง

วันที่ 17 มกราคม น.พ.ทักษพล ธรรมรังสี รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณสุขระหว่างประเทศ กล่าวว่า จากการประชุมประจำปีครั้งที่ 1 เรื่อง “การจัดการปัญหาพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน : ประเทศไทยพร้อมหรือยัง” จัดโดย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) แผนงานวิจัยอาหารและโภชนาการเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (FHP) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีนักวิชาการด้านอาหารจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วม ผลจากการประชุมมีประเด็นที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบายและนำมาทบทวนมาตรการของประเทศไทยต่อไปได้ คือ 1.มาตรการทางภาษี พบว่า ในหลายประเทศมีการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจัดการอาหารที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และเครื่องดื่มที่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีหลักฐานการวิจัยชัดเจนว่า สามารถลดปัญหาโภชนาการเกินได้ แต่จำเป็นต้องศึกษาผลกระทบและทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน เพื่อนำข้อมูลไปผลักดันและพัฒนานโยบายต่อไป

 

น.พ.ทักษพล กล่าวว่า 2.เรื่องฉลากอาหาร มีการนำเสนอผลจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฉลากเป็นแบบแสดงค่าพลังงาน ไขมัน น้ำตาล และโซเดียม หรือ GDA โดยพบว่า ร้อยละ 42 ของผู้บริโภคยังไม่ค่อยเข้าใจในการอ่านฉลากอาหาร เมื่อเทียบกับการใช้ฉลากแบบสีสัญญาณไฟจราจร จะเพิ่มความเข้าใจได้มากถึงร้อยละ 80 ดังนั้นจึงควรมีการพัฒนารูปแบบฉลากให้เข้าใจ โดยต้องมีการศึกษารูปแบบที่จะสร้างความเข้าใจได้อย่างง่าย ในการตัดสินใจเรื่องอาหารซึ่งผู้บริโภค จะต้องเห็นและเข้าใจได้ทันที และ 3.การตลาดพบว่า อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีลักษณะเป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นเครือข่าย มีเป้าหมายในการประกอบธุรกิจคือ การสร้างกำไรให้แก่หุ้นส่วน โดยการใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดทุกรูปแบบ เพื่อเข้าถึงเด็กและเยาวชน จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐว่า ต้องคำนึงถึงการควบคุมการใช้สื่อโฆษณาในสินค้าที่อาจมีผลต่อสุขภาพในเด็ก

 

ด้าน ท.พญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ นักวิจัยเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายประเทศทั่วโลกใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าประเภทเครื่องดื่มผสมน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม โซดา ชา กาแฟ น้ำผักผลไม้ ฯลฯ เพื่อควบคุมปัญหาภาวะโภชนาการเกิน โดยนำภาษีที่ได้ไปแก้ปัญหาโรคที่เกิดจากโภชนาการเกิน แก้ปัญหาโภชนาการเกิน ที่เป็นสาเหตุของโรคไม่ติดต่อสำคัญ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากร ทั้งโรคอ้วน ความดัน หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ที่สร้างภาระทางด้านค่าใช้จ่ายสาธารณสุขอย่างมาก

 

สำหรับประเทศไทย เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์มีราคาต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับ 17 ประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ จำเป็นต้องศึกษาทั้งด้านสุขภาพ ซึ่งมีงานศึกษาจำนวนมากชี้ว่ามีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการเกิน และศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ เพื่อหารูปแบบการจัดเก็บภาษี และสร้างความเข้าใจต่อสังคม

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: