'ยิ่งลักษณ์'ปลุกคิดบวก เดินหน้าแก้ปัญหาประเทศ

6 ม.ค. 2556 | อ่านแล้ว 620 ครั้ง

 

วันที่ 6 มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาในการสัมมนาพรรคเพื่อไทย หัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้า มุ่งมั่นตั้งใจเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย” ตอนหนึ่งว่า เมื่อมองย้อนไปปี 2553 เรามาสัมมนาที่นี่ในฐานะฝ่ายค้าน เพื่อระดมความเห็นว่าจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างไร และในที่สุดวันนี้เรามาที่นี้ด้วยอีกบทบาทหนึ่ง คือ กลับมาเป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมาจากความสำเร็จ ที่สมาชิกทุกท่านร่วมกันสัมมนาให้ข้อคิดกับพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการลงไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง

 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราได้บรรจุเป็นนโยบายเพื่อให้โดนใจประชาชน เรากลับมายืนในบทบาทนี้ด้วยความภาคภูมิใจ ต้องขอขอบคุณสมาชิกพรรค ที่มีส่วนทำให้ตนได้มายืนบนบทบาทนี้ และมารับภาระหน้าที่ของความภาคภูมิใจที่เราจะร่วมกันทำ ภายใต้หัวข้อที่ว่า "เหลียวหลังแลหน้า มุ่งมั่นตั้งใจ...เพื่อชีวิตที่ขึ้น ของคนไทย" ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจ เตือนตัวเอง ให้พรรคเพื่อไทยทำงาน มุ่งมั่น เพื่อชีวิตที่ดีของคนไทยกลับมา เพราะเรามาจากประชาชน

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ปี 2556 ขอเชิญชวนให้เป็นปีแห่งการคิดบวก ถ้าเราคิดบวกมีความรักความเมตตา หาทางออกให้ประเทศร่วมกัน เราต้องมองย้อนไปปี 2549 ที่เรามองไม่ต้องการเหลียวเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่เพื่อให้เข้าใจที่มาความแตกต่าง ในการที่จะคิดแก้ไข เพราะตั้งแต่ปี 2549 อำนาจที่เคยเป็นของประชาชนได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป ในฐานะที่เป็นพรรคที่มาจากประชาชน ก็อยากเห็นสิ่งที่เป็นอำนาจของประชาชนได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป กลับคืนสู่ประชาชน และกลไกตามระบอบประชาธิปไตยในการตรวจสอบการทำงาน เพื่อให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทั้งทางเศรษฐกิจความเหลื่อมล้ำรายได้ สังคม ข้อกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

 

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า ตนเดินทางไปหลายประเทศช่วงหลังการรัฐประหาร 49 การยอมรับธุรกรรมต่าง ๆ กับต่างประเทศได้หยุดหายไป แต่หลังจาก 3 กรกฎาคม 2554 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มได้รับการยอมรับ แต่การเดินต่อไปจะเป็นไปได้ยากถ้าข้อกฎหมายระเบียบต่าง ๆ ยังไม่ได้ถูกเอื้อให้เป็นที่ยอมรับแก่นานาประเทศ จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 49 ได้เปลี่ยนรัฐบาลมาหลายรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ถนนหลาย ๆ เส้นถูกทิ้งร้างไม่ต่อเนื่อง เส้นทางขาดหายหลายกิโลเมตร การก่อสร้างสถานที่ต่าง ๆ ขาดตอน เพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะส่งไปยังชุมชนขาดตอน ทำให้ประเทศขาดขีดความสามารถในการแข่งขันในหลายเรื่อง รายได้เกษตรกรเท่าเดิม หนี้สินสูงขึ้น น้ำแล้ง ไม่มีการทำวิจัยที่จะทำให้ผลผลิตดีขึ้น รัฐบาลเพียงแต่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขวางแผนระยะยาว เปลี่ยนรัฐบาล แน่นอนก็ต้องเปลี่ยนนโยบาย สิ่งที่ดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนต่าง ๆ ถูกยกเลิก ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้นำนโยบายต่าง ๆ นี้กลับคืนมา และต่อยอดให้ดีขึ้น อย่างเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลที่ต้องเท่าเทียมกัน คำว่าป่วย คำว่าฉุกเฉิน ต้องไม่มีรายได้ ไม่มีฐานะ ไม่มีเพศ มีแต่ความเท่าเทียมกัน ต้องรักษาเท่านั้น ป่วยที่ไหนเข้าที่นั่น

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เท่าที่ดูเมื่อไตรมาส 3-4 ปี 55 เศรษฐกิจดีขึ้น และคาดว่าจะดีขึ้นถึง 5.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลจะสร้างรายได้ให้เกิดการหมุนเวียน เช่น โครงการจำนำข้าว ค่าแรง 300 บาท เป็นต้น เพื่อพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และปี 56 นี้จะเป็นปีแห่งการปรับสมดุล เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์จังหวัด กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์ประเทศไปด้วยกัน โดยเราจะเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐาน มองเรื่องการแก้ปัญหาจราจรทั้งระบบ ไม่เฉพาะกทม. แต่ต้องมองปริมณฑล งานทุกหน่วยงานต้องบูรณาการทั้งระบบ การปรับปรุงสนามบิน การกระตุ้นให้ประชาชนเข้าแหล่งเงินทุน ไม่ว่ากองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนเอสเอ็มเอล โอท็อป เพื่อลดการกู้หนี้นอกระบบ จะทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น และที่ตนมาทำกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไม่ใช่เพราะตนเป็นนายกฯหญิงอย่างเดียว

 

แต่ตนเห็นว่าเราควรให้ความสำคัญในการสร้างรายได้ ที่เราเห็นอยู่แล้ว และมีโอกาส เพราะส่วนใหญ่สมาชิกกองทุนฯ มีรายได้แค่ 4,000-6,000 บาทต่อเดือน รวมทั้งการพัฒนาเกษตรโซนนิ่ง ส่วนแผนงานในอนาคตจะมีการปรับสมดุลของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ จากพึ่งการส่งออกที่ต้องมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพิ่มโอกาสใหม่ ๆ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ต้องเพิ่มคุณภาพมากขึ้น สินค้าโอท็อปจะแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ บูรณาการงานของกระทรวงเข้ามาดูแล เช่น กระทรวงสาธารณสุข เข้ามาดูแลโอท็อปประเภทยา การส่งออกจะเน้นตลาดเดิมเพิ่มตลาดใหม่เข้ามา การศึกษาการสร้างงาน สนับสนุนเอสเอ็มอีเป็นรายอุตสาหกรรม เป็นต้น และการบูรณาการต้องลงไปถึงระดับจังหวัด ท้องถิ่น ภาคเอกชน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้งบฯ 2.2 ล้านล้าน ซึ่งตนอยากจะเห็นเวิร์คช็อปกับพื้นที่มากขึ้น

 

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าด้วยพลังของเราอยากเห็นปี 2556 เป็นปีของการคิดบวกปีแห่งการรวมใจ รวมพลังเพื่อสร้างโอกาสสังคมไทยและเป็นปีของการหาทางออกสำหรับประเทศไทย เพื่อจะให้บันทึกในประวัติศาสตร์ว่า พรรคเพื่อไทยของเรามาจากประชาชน เราจะร่วมพลังกันในการทำความเข้าใจและแก้ไข เพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และจะร่วมกันปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาอุปสรรค เพื่อให้สอดคล้องเพื่อให้นโยบายต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น การทำงานของรัฐบาลทั้งหมดต้องการการมีส่วนร่วมของสมาชิก การมีส่วนร่วมจากประชาชน สำหรับปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ นั้น รัฐบาลมีหน้าที่ 2 บทบาท คือ การขับเคลื่อนนโยบาย และการต่อเชื่อมในฐานะสมาชิกพรรค ทำนโยบายพรรคให้เกิดเป็นรูปธรรม แต่การดูแลให้เกิดกระบวนการประชาธิปไตยกับภาคประชาชนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลต้องการเห็นกลไกการมีส่วนร่วม จะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุขมีรอยยิ้ม สำหรับบทบาทอำนาจ 3 เสาหลัก ตนยังยึดมั่นว่าทุกเสาหลักต้องมีการถ่วงดุลอำนาจของตนเอง และต่างคนต่างทำงานที่ต้องสานต่อ แต่ส่วนรัฐบาลมีอะไรที่ไม่มีทางออก เราคงนั่งนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ เราจึงถือว่าเราเป็นกลไกหนึ่งที่จะให้มีโอกาส มีส่วนร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมแก้ ร่วมกันพัฒนาต่อไป

 

ขอบคุณข่าวจาก คมชัดลึก

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: