ศาลสั่งจำคุก ‘ผอ.ประชาไท’ ผิดพรบ.คอมพ์ฯ แต่ให้รอลงอาญา

30 พ.ค. 2555 | อ่านแล้ว 4292 ครั้ง

เมื่อเวลา 10.50 น.วันที่ 30 พ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาฯ ศาลอ่านคำพิพากษาคดี น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท (prachatai.com) ในความผิดตามมาตรา 14 และ 15 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากข้อกล่าวหาว่า จำเลยมีการปล่อยให้มีการนำเข้าข้อมูลที่มีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ อยู่ในเว็บบอร์ด โดยที่ข้อความส่วนใหญ่ปรากฎอยู่นาน 1-3,10วัน และมีข้อความหนึ่งปรากฎอยู่ในเว็บบอร์ดนานถึง 20 วันนั้น

ศาลถือว่าเป็นเวลาที่ควรจะรู้และควรที่จะทำการลบข้อความที่เป็นปัญหาแล้ว จึงถือเป็นการการงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาอันสมควร จึงถือเป็นการยินยอมโดยปริยาย ให้มีการนำเข้าข้อมูลที่มีความผิดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จริง

ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า เหตุเกิดจากมีการแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ดมากขึ้น หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 และทางเว็บได้เพิ่มมาตรการในการตรวจสอบมากขึ้นตามลำดับนั้น ถือว่าเป็นการกระทำตามหน้าที่แต่ยังไม่ถือว่าเพียงพอ

ในส่วนที่จำเลยยกเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้น ศาลยอมรับว่า มีความสำคัญและถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ การมีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ได้สะท้อนถึงหลักธรรมาภิบาลและประชาธิปไตยขององค์กรและของประเทศนั้นๆ

แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็น ก็ต้องดูแลตรวจสอบข้อความที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ และสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเคารพเช่นกัน

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การให้บริการทางเว็บบอร์ด ข้อความที่ผู้ใช้บริการโพสต์ได้ปรากฎขึ้นทันที โดยไม่สามารถตรวจสอบได้ล่วงหน้า ซึ่งตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา15 ว่าด้วยความรับผิดชอบของผู้ใช้บริการไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในเรื่องเวลา ว่าจะต้องให้จัดการกับข้อความที่ผิดกฎหมายภายในระยะเวลาเท่าไหร่ และไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการแจ้งเตือน

แต่หากจะถือว่าผู้ให้บริการยินยอมและต้องรับผิดชอบโดยทันที ก็ถือว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อผู้ให้บริการ แต่หากผู้ให้บริการจะอ้างว่าไม่ทราบว่ามีการโพสต์ข้อความดังกล่าว โดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อให้พ้นจากความผิด ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

ศาลพิจารณาว่า ข้อความตามฟ้องที่ปรากฏในเว็บบอร์ดในระยะเวลา 1-3,10 วัน ยังอยู่ในกรอบเวลาที่ฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้รับรู้ถึงการนำเข้าของข้อมูลดังกล่าว แต่สำหรับข้อความที่ถูกนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 20 วัน ไม่อาจรับฟังได้ว่า ไม่ได้รับรู้ถึงการนำเข้าของข้อมูล จึงถือว่าเป็นการยินยอม จงใจ หรือ สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด

ศาลจึงพิพากษาให้มีความผิดตามกฎหมาย มาตรา 15 ประกอบ มาตรา 4 (3) ให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี ปรับเป็นเงิน 30,000 บาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ จึงมีเหตุให้บรรเทาโทษให้จำคุก 8 เดือน ปรับ 20,000บาท โทษจำให้รอลงอาญา 1ปี

 

น.ส.จีรนุชให้สัมภาษณ์ภายหลังคำฟังคำพิพากษาว่า ค่อนข้างพอใจกับคำพิพากษาที่เรียบเรียงได้อย่างมีเหตุมีผล อย่างไรก็ตามในกระทู้ที่มีความผิด คงเป็นจุดที่ยังไม่พอใจนัก และคงต้องปรึกษาทนายว่าจะอุทธรณ์ต่อหรือไม่ เนื่องจากเป็นหนึ่งกระทู้ที่นำไปสู่ประเด็นว่า ในฐานะผู้ให้บริการไม่ตรวจตราข้อมูลในเว็บไซต์อย่างดีพอ ทำให้มีความผิดฐานยินยอมให้มีข้อความดังกล่าว ซึ่งในทางสากลก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า บทบาทของผู้ให้บริการที่ต้องทำหน้าที่ตำรวจตรวจตราเนื้อหา ถูกต้องชอบธรรมแค่ไหน

สำหรับข้อเสนอในการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น น.ส.จีรนุชมองว่า ไม่ควรมีการผนวกรวมการควบคุมเนื้อหาไว้ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ขณะที่ในส่วนของผู้ให้บริการนั้น ควรมีระเบียบและข้อบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งคำพิพากษาในวันนี้ก็พูดถึงการที่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้กำหนดรายเอียดไว้ว่าระยะเวลาเท่าใดจึงเท่ากับจงใจ

ด้านนายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความจำเลย ให้สัมภาษณ์ว่า คำพิพากษาครั้งนี้ โดยรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เพราะศาลได้พิจารณาเรื่องระยะเวลาด้วย คือ กรณีของข้อความบางข้อความที่ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ศาลก็ได้วินิจฉัยว่า จำเลยได้จัดการลบข้อความออกในระยะเวลาอันสมควรแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมีความเห็นต่างในกระทง ที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษโดยวินิจฉัยว่า การที่ข้อความในกระทู้ดังกล่าวปรากฏอยู่เป็นระยะเวลา 20 วัน แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีการตรวจตราตรวจสอบเท่าที่ควรจะเป็น ถือเป็นการงดเว้นสิ่งที่จะต้องกระทำ จึงวินิจฉัยว่าจำเลยยินยอมโดยปริยาย

 

“กรณีที่จำเลยตรวจสอบไม่พบหรือไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพออย่างที่ศาลกล่าว เช่นนั้นแล้วการกระทำของจำเลยก็น่าจะเป็นเพียงความบกพร่องหรือผิดพลาดเท่านั้นเอง ในขณะที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า การจะเป็นความผิดได้ ผู้ให้บริการต้องจงใจ สนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดหรือให้มีการโพสต์ข้อความที่ผิดกฎหมาย ผมเห็นว่ากรณีที่จะเป็นการจงใจสนับสนุนหรือยินยอม ต้องเป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานรับฟังได้โดยแน่ชัดว่า ตัวจำเลยได้รับทราบถึงข้อความที่มีผู้โพสต์ลงในเว็บบอร์ดแล้ว เมื่อทราบแล้วกลับเพิกเฉยไม่จัดการลบออกในทันที หรือในเวลาอันควร เช่นนี้จึงจะเป็นการจงใจสนับสนุนยินยอม นี่เป็นประเด็นที่คิดว่าถ้าจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ ศาลสูงก็น่าจะวินิจฉัยประเด็นนี้”

 

นายธีรพันธุ์กล่าวว่า คำพิพากษาลักษณะนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีอื่นๆ เพราะตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ ยังไม่เคยมีคดีที่เป็นแบบอย่างเป็นบรรทัดฐานมาก่อน แม้ว่าคำพิพากษาในคดีนี้จะเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่หรือการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่นกระทรวงไอซีที หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

ขอบคุณข่าวและภาพจากประชาไท

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: