ทีดีอาร์ไอชี้ประชาชนเสนอกฎหมายมากสุด แต่ยังติดระบบบริหาร-กฤษฎีกาทำให้ช้า

29 มี.ค. 2555 | อ่านแล้ว 1981 ครั้ง

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ แผนงานเสริมสร้างนโยบายสาธารณะที่ดี ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มีการสัมมนาเรื่อง “การปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน” โดยมีการนำเสนอผลการศึกษา 2 กรณีศึกษาสำคัญ คือ กรณีการเสนอร่างกฎหมายโดยภาคประชาชน และบทบาทของกฤษฎีกาในกระบวนการนิติบัญญัติไทย

 

15ปีประชาชนมีส่วนเสนอกฎหมาย37ฉบับ

 

นายปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอว่า กรณีการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาพบว่า ปัญหาการเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน อยู่ที่การขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการ ภาคประชาชนมีความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมทั้งในเนื้อหาและคุณภาพของร่างกฎหมาย ถือเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ที่ผ่านมามีกฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ 37 ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอโดยตรง  31 ฉบับ และเสนอผ่าน กกต. 6 ฉบับ ส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารราชการ และสิทธิทั่วไปของประชาชน มีกฎหมายเพียง 3 ฉบับที่ประกาศใช้ แต่เป็นการพิจารณาร่วมกับร่างของรัฐบาล ค้างอยู่ในกระบวนการ 11 ฉบับ ที่เหลือไม่ได้รับการพิจารณาเนื่องจาก รายชื่อไม่ถึง/นายกฯไม่รับรอง 17 ฉบับ สภาไม่รับหลักการ/อายุสภาสิ้นสุด/ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 5 ฉบับ วุฒิสภาไม่รับหลักการ/ไม่เห็นชอบ 1 ฉบับ

 

กระบวนการเข้าชื่อของประชาชนยังติดขัด

 

จากการสำรวจสภาพปัญหาในกระบวนการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของภาคประชาชนพบว่า การจัดทำร่างกฎหมายและระดมรายชื่อ ยังไม่ได้รับความสนใจจากสังคม ขาดความเชี่ยวชาญการจัดทำ มีต้นทุนการประชาสัมพันธ์สาระของร่างกฎหมายและการระดมรายชื่อ ขณะที่การใช้ช่องทางผ่าน กกต.เป็นไปแบบตั้งรับ ระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน ไม่เพียงพอสำหรับการระดมรายชื่อหลักหมื่นคน การตรวจสอบร่างกฎหมายโดยรัฐสภา พบปัญหาเกี่ยวกับเอกสาร การตีความและข้อจำกัดของขั้นตอนตรวจสอบ ที่สำคัญกระบวนการตรวจสอบเป็นไปอย่างล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ การพิจารณาร่างกฎหมายโดยรัฐสภานั้น ร่างกฎหมายภาคประชาชนมักสิ้นสุดตามอายุสภาฯ หรือถูกแก้ไขสาระสำคัญโดยร่างกฎหมายที่รัฐบาลหรือ ส.ส. ร่างขึ้นมาประกบ

ข้อเสนอเพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ให้สามารถเสนอกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงต้องลดต้นทุนในกระบวนการลง เช่น ยกเลิกการใช้ทะเบียนบ้านให้ใช้เพียงบัตรประชาชนเป็นหลักฐานประกอบการเสนอร่างกฎหมาย ยกเลิกข้อกำหนดให้ภาคประชาชนต้องเสนอร่างพ.ร.บ.ทั้งฉบับ อาจเสนอเพียงหลักการ แล้วให้มีองค์กรช่วยงานยกร่างกฎหมายเช่น คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ภาครัฐช่วยเรื่องการประชาสัมพันธ์มากขึ้นรวมถึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น การถ่ายเอกสาร กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณารับร่างกฎหมายของรัฐสภาทุกขั้นตอน และประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้จากสื่อของรัฐ รวมทั้งหากรัฐสภาไม่เห็นชอบร่างกฎหมายที่ประชาชนจำนวนมาก เช่น 1 แสนคนเข้าชื่อเสนออาจจัดให้มีการลงประชามติ หรือให้ประชาชนมีสิทธิระดมรายชื่อเพื่อยับยั้งร่างกฎหมายได้ หากเห็นว่าร่างกฎหมายขัดต่อสิทธิเสรีภาพหรือแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

นายปกป้องกล่าวว่า สำหรับกรณีบทบาทของกฤษฎีกาในกระบวนการนิติบัญญัติของไทย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมากแต่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้น้อยมาก ทั้งนี้คณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่ในการจัดทำร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับหรือประกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรี รับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ฯ และเสนอความเห็น ข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้กฎหมาย แก้ไขปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมาย

 

วิจัยชี้กฤษฎีกาที่มาจากขรก.ทำให้คิดแบบอนุรักษ์นิยม

 

คณะวิจัยได้สำรวจข้อมูลเชิงประจักษ์ว่า ใครคือคณะกรรมการกฤษฎีกา พบว่า กรรมการกฤษฎีกาส่วนใหญ่ มีอายุ 61-70 ปี จำนวน 49 % อายุ 71-80 ปี จำนวน 22 % อายุน้อยกว่า 60 ปี จำนวน 15 % และอายุ 80 ปีขึ้นไป จำนวน 14 % คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดปัจจุบันมีอายุเฉลี่ย 68.5 ปี ส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนาน โดย 33 % อยู่ในตำแหน่ง 11-20 ปี 32 % น้อยกว่า 5 ปี 19 % ระหว่าง 5-10 ปี 12 % ระหว่าง 20-30 ปี และ 4 % อยู่ในตำแหน่งมากกว่า 30 ปี ภูมิหลังด้านการศึกษาส่วนใหญ่มาจากด้านนิติศาสตร์ 63 % เศรษฐศาสตร์/บัญชี/บริหารธุรกิจ 12 % รัฐศาสตร์ 8 % ทหาร/ตำรวจ 7 % ฯลฯ มาจากอาชีพข้าราชการ/เจ้าหน้าที่รัฐมากสุด 41 % รองลงมาคือ ผู้พิพากษา/อัยการ 24 % อาจารย์มหาวิทยาลัย 15% กฤษฎีกา 13 %

ทีมวิจัยมีข้อสังเกตว่า การที่กรรมการกฤษฎีกาส่วนใหญ่มาจากอดีตข้าราชการเกษียณสูงอายุ จึงมีโอกาสที่จะมีระดับความอนุรักษ์นิยมสูง ยึดติดกับวิถีแบบราชการ และอาจมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสังคมไทย

นอกจากนั้นการที่กรรมการกฤษฎีกาเป็นนักกฎหมายเสียส่วนใหญ่ อาจทำให้มีความรู้ความเข้าใจในสาขาวิชาอื่นนอกเหนือจากสาขากฎหมายอย่างจำกัด ข้อเสนอแนะจึงควรจำกัดอายุของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ให้เกินกว่า 70 ปี และปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้มีความหลากหลายขึ้น ลดสัดส่วนความเป็นราชการเพิ่มสัดส่วนของภาคประชาสังคมและนักวิชาการให้มากขึ้น นอกจากนั้นการดำรงตำแหน่งกรรมการกฤษฎีกาควรจำกัดวาระของคณะกรรมการทั่วไปไม่ให้เกิน 2 วาระ และประธานกรรมการกฤษฎีกาไม่เกิน 3 วาระ เพื่อไม่ให้มีการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนาน จนอาจเกิดสภาพผูกขาดการทำหน้าที่

 

 

การทำงานยังไม่สอดคล้องกับฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ

 

แม้ว่าในหลายกรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีบทบาทให้แง่ของการปรับปรุงร่างกฎหมายให้มีคุณภาพมากขึ้นทั้งในเชิงเนื้อหาและรูปแบบ แต่ในส่วนของอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย บทบาทของคณะกรรมการกฤษฎีกามีแนวโน้มที่จะมีระดับความเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารมากขึ้น จากอำนาจในการใช้ดุลพินิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลายครั้งส่งผลกระทบเชิงนโยบายของฝ่ายบริหาร ทีมวิจัยเห็นว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาควรมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยอย่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติในระดับหนึ่ง โดยอาจออกแบบให้คณะรัฐมนตรีควรมีส่วนร่วม ในการพิจารณาคัดเลือกคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมถึงกำหนดให้กรรมการกฤษฎีกาควรได้รับการรับรองจากรัฐสภาเช่นเดียวกับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย

กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกามีความสัมพันธ์กับภาคประชาสังคมน้อยมาก จึงควรออกแบบระบบความรับผิดชอบที่เหมาะสม ให้องค์กรอิสระ สาธารณชนเข้ามาตรวจสอบและกำกับการทำงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มระดับความโปร่งใสในการทำงานของกฤษฎีกา และให้มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการร่างกฎหมายและรายงานการประชุมต่อสาธารณชน

ส่วนปัญหาความล่าช้าในการปฏิบัติภารกิจโดยขั้นตอนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 8 เดือน นานกว่าขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาซึ่งใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 4 เดือนและ 1 เดือนตามลำดับ เนื่องจากใช้รูปแบบเป็นองค์กรประชุม ไม่ได้ทำงานประจำ ประชุมกันสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่รวมศูนย์อำนาจตัดสินใจไว้ที่คณะกรรมการกฤษฎีกามากกว่าข้าราชการในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และมีลักษณะการทำงานที่ยึดโยงกับตัวบุคคลมากกว่าระบบ การทำงานจะเร็วหรือช้าอยู่ที่วิถีการทำงานของประธานแต่ละคณะเป็นสำคัญ

 

 

กฎหมายช้าเพราะครม.-กฤษฎีกาต้องทำใหม่หมด

 

ความล่าช้าส่วนหนึ่งยังมาจากระบบกลั่นกรองร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรียังไม่ดีพอ ร่างฯไม่มีคุณภาพ ไม่มีนโยบายชัดเจน ความเห็นแต่ละหน่วยราชการขัดกันเอง กฤษฎีกาจึงต้องลงมือทำใหม่ทั้งฉบับ และใช้ดุลพินิจมาก จึงควรกำหนดระบบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณาร่างกฎหมายอย่างชัดเจน พร้อมระยะเวลาแล้วเสร็จ พัฒนาระบบกลั่นกรองร่างกฎหมายในชั้นสำนักงานเลขาคณะรัฐมนตรี โดยบังคับใช้มติคณะรัฐมนตรี 23 พ.ย.2547 ที่กำหนดให้ส่วนราชการต้องตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายผ่านบทตรวจสอบ (checklist) 10 ประการเสียก่อน เช่น ภาระต่อบุคคลและความคุ้มค่า ความพร้อมของรัฐ การรับฟังความเห็น เป็นต้น

รวมถึงปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาในทางที่เพิ่มอำนาจการตัดสินใจให้กับข้าราชการประจำ เช่น เพิ่มบทบาทกรรมการร่างกฎหมายประจำ และการเพิ่มอัตรากำลังในตำแหน่งสำคัญ เช่น กรรมการร่างกฎหมายประจำ และเลขานุการประจำคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่ละคณะ เพื่อย่นระยะเวลาของกระบวนการนิติบัญญัติไทย

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามร่างกฎหมายในกระบวนการนิติบัญญัติของไทยเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชนได้ที่เว็บไซต์ ThaiLawWatch.org

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: