ระบุมีเกษตรกรอีก 8 แสนครอบครัวไร้ที่ดินทำกิน
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย นำโดย นางอำนวย สังข์ช่วย ชาวบ้านหาดสูง สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ซึ่งประสบปัญหาที่ดินทำกินทับซ้อนเขตป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า แถลงข่าว “ครบรอบ 1 ปี การทำงานของรัฐบาลกับนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินและคนจน” ที่สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ระบุว่า นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติต่อสภาว่าจะปฏิรูปการจัดการที่ดิน โดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมถึงจะผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ และทะเล
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 1 ปีผ่านไป การบริหารงานของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้เกษตรกรเกือบ 800,000 ครอบครัว ยังอยู่ในภาวะไร้ที่ดินทำกิน เกษตรกรเกือบ 2 ล้านครอบครัวอยู่ในภาวะมีที่ดินไม่เพียงพอ ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ถูกปล่อยทิ้งร้างถึง 48 ล้านไร่ ในขณะที่เกษตรกรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ประสบปัญหาหนี้สิน และที่ดินของเกษตรกรกว่า 38 ล้านไร่ อยู่ในสภาพหนี้ NPL และกำลังจะถูกขายทอดตลาด ประกอบกับปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและต้นทุนการผลิตสูงในปัจจุบัน ทำให้เกษตรกรทั่วประเทศกว่า 4 ล้านครอบครัว อยู่ในภาวะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
.jpg)
จวกนโยบายประชานิยมเอื้อประโยชน์แค่คนบางกลุ่ม
ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร การแทรกแซงราคายางพารา โครงการรับจำนำมันสำปะหลัง และโครงการรับจำนำข้าว กำลังตกเป็นข่าวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เอื้อประโยชน์ให้กับคนเพียงบางกลุ่ม ในขณะที่เกษตรกรอาจจะได้รับผลประโยชน์ในระยะสั้น ซึ่งไม่สามารถยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรได้จริงสมกับเม็ดเงินที่รัฐบาลกำลังทุ่มลงไป ขณะที่ข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ให้รัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างที่ดินและโครงสร้างภาคเกษตร ด้วยแนวทางโฉนดชุมชน การใช้กลไกภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า และการแก้ไขปัญหาเกษตรกรไร้ที่ดินด้วยแนวทางธนาคารที่ดิน กลับไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแต่อย่างใด
“สะท้อนให้เห็นว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายสร้างความนิยม ซึ่งให้ผลตอบแทนกับเกษตรกรเพียงในระยะสั้น แต่ละเลยการปฏิรูปโครงสร้างภาคเกษตร การลดความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน และการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกรอย่างยั่งยืน” นางอำนวยกล่าว
นักวิชาการ-ชาวบ้านประเมินรัฐบาลสอบตก-แก้ปัญหาที่ดินทำกิน
สำหรับข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย นางอำนวยกล่าวว่า รัฐบาลควรปรับปรุงนโยบาย และการดำเนินงานของรัฐบาลในปีที่ 2 ด้วยการตระหนักในความเดือดร้อนของเกษตรกร และดำเนินนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ตามนโยบายที่ได้เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน เพื่อยืนยันและเป็นหลักประกันกับเกษตรกรทั่วประเทศว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดนี้มีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน ให้สมกับคำแถลงนโยบายอันเป็นความหวังของเกษตรกร
ทั้งนี้ ในเวทีเสวนาวิชาการ “1 ปี รัฐบาลกับการแก้ไขปัญหาที่ดินและโครงสร้างภาคเกษตร คืบหน้าหรือถอยหลัง” โดยเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย และกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน โดยมีนักวิชาการและตัวแทนชาวบ้านร่วมนำเสนอข้อมูล และประเมินการทำงานของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา โดยให้รัฐบาลนี้สอบตก
.jpg)
น.ส.พงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน กล่าวว่า รัฐบาลสอบตกในประเด็นการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เนื่องจากช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เขียนไว้อย่างสวยหรูในถ้อยแถลงต่อรัฐสภาเลยแม้แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะการปฏิรูปและการกระจายการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญในการแก้ปัญหาปากท้อง รวมทั้งปัญหาโครงสร้างการเกษตรด้วย
แฉกรมอุทยานฯรับงบ 50 ล้านอ้างจัดการรีสอร์ตรุกป่าที่แท้ไล่ชาวบ้าน
ขณะที่ นางกันยา ปันกิติ กรรมการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนาวิชาการว่า จากปัญหาที่ดินกระจุกตัว ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกิน จึงมีการผลักดันนโยบายโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน และภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง และในรัฐบาลที่ผ่านมา มีการดำเนินการไปแต่ยังไม่มาก เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีการนำไปแถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภา แต่กลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งในเรื่องการจัดทำโฉนดชุมชน หรือการแก้ปัญหาคดีโลกร้อน ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ต้องประสบปัญหาถูกข่มขู่คุกคาม ทำลายทรัพย์สิน ดังตัวอย่างชาวบ้านเทือกเขาบรรทัดที่ถูกตัดฟันต้นยางเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทั้งที่ทำกินอยู่ในพื้นที่ของปู่ย่า-ตายาย
นางกันยากล่าวด้วยว่า งบประมาณ 50 ล้านบาท ที่รัฐบาลมอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเพื่อใช้ปราบปราบนายทุน เจ้าของรีสอร์ทที่บุกรุกป่า กลับถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามชาวบ้านเกษตรกรรายย่อย ถือเป็นการดำเนินนโยบายที่สร้างปัญหาความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ในวันนี้ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาปกป้องที่ดินของตนเอง โดยต้องทำหลุมพรางเป็นกับดัก และจับมีดพร้าเข้าไปเฝ้าระวังในสวนยาง เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่เข้ามาตัดฟัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงหากมีการเผชิญหน้ากัน
.jpg)
ส่วนการเคลื่อนไหวของชาวบ้าน นางกันยาให้ข้อมูลว่า วันนี้ชาวบ้านจากเทือกเขาบรรทัดส่วนหนึ่งได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อแม่ทัพภาค 4 เพื่อขอกำลังทหารเข้าคุ้มครองพื้นที่ชั่วคราว ระหว่างรอ มติคณะรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง เข้าไปตัดฟันต้นยางของชาวบ้านในพื้นที่
ชี้ “จำนำข้าว-พักหนี้-บัตรเครดิต” แก้ปัญหาไม่ตรงเป้า
ทางด้าน นางกิมอัง พงษ์นารายณ์ ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง แต่กลับทำให้ปัญหาหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ชาวนาถูกยึดทรัพย์ขาดทอดตลาด ทุกวันนี้ปัญหาการสูญเสียที่ทำกินลุกลามมาถึงที่อยู่อาศัย ทำให้อาชีพเกษตรกรรมไม่ใช่อาชีพที่เป็นทางเลือกของลูกหลานอีกต่อไป
สำหรับนโยบายรับจำนำข้าว จากราคาประเมิน 15,000 บาท ปัจจุบันเกษตรกรได้รับ 13,000 บาท แต่ก็ประสบปัญหาเรื่องเวลาที่จะได้รับเงิน และรายจ่ายที่สูงขึ้น ของแพง แม้ชาวนาจะรู้สึกดีที่ได้เงินก้อนใหญ่ แต่สุดท้ายต้องถูกใช้จ่ายไปกับหนี้สิน และต้นทุนการผลิตอื่นๆ อื่นสูงขึ้นตามมา จึงเท่ากับว่า ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ในส่วนการพักชำระหนี้ก็ให้เฉพาะกับลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรที่กำลังจะถูกยึดที่ดิน และกรณีบัตรเครดิตเกษตรกรนั้น เมื่อเบิกเงินมาแล้ว หากผลผลิตไม่ได้ตามเป้า ก็เท่ากับเกษตรกรต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นเท่านั้น
“เอาเงินก้อนใหญ่ใส่ในมือชาวนา ทำให้ต้องเลือกเพื่อจะได้เงิน แต่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงจุด” นางกิมอังกล่าวถึงวิธีการแก้ปัญหาของเกษตรกรที่รัฐบาลชุดปัจจุบันทำอยู่
.jpg)
นางกิมอังกล่าวด้วยว่า กฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เป็นกฎหมายที่เขียนไว้ดี แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล เกษตรกรต้องรวมตัวกันชุมนุมถึง 4 รอบ กว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการ แต่เมื่อตั้งคณะกรรมการแล้วกลับไม่มีการประชุมเดินหน้าทำงานเพื่อแก้ปัญหา จนทำให้เกษตรกรต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อกระตุ้นเตือน จึงจะได้เริ่มนัดประชุม
“รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่ปัจจัยการผลิตก่อน อย่าเอาหนี้มาเพิ่มให้กับเราเรื่อยๆ” นางกิมอังกล่าว โดยให้ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาว่า ควรมีการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรเพื่อทำการเกษตร และทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตแล้วอยู่ได้อย่างยั่งยืน
เผยตัวเลขความเหลื่อมล้ำคน 10 เปอร์เซนต์ ครองที่ดิน 80 เปอร์เซนต์
ด้าน ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงงานวิจัยการกระจุกตัวความมั่งคั่งในสังคมไทย นำเสนอข้อมูลการถือครองที่ดินในรูปแบบโฉนดทั้งของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศไทยว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) หรือค่าจีนี เพื่อแสดงค่าความเหลื่อมล้ำการกระจายการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งจะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 โดยหากตัวเลขเข้าใกล้ 0 หมายถึงสังคมมีความเหลื่อมล้ำที่ต่ำ แต่เข้าใกล้ 1 หมายถึงการมีความเหลื่อมล้ำในสังคมมากพบว่า ในปี 2555 ภาพรวมทั้งประเทศมีค่าจีนีสูงถึง 0.941 แสดงว่ามีการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินสูงมาก ขณะที่รายจังหวัดมีค่าจีนีอยู่ในช่วง 0.7 – 0.9 ขณะที่การกระจายรายได้จากการเก็บข้อมูลปี 2552 มีค่าจีนี 0.485 ซึ่งน้อยกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยมีการกระจุกตัวของความมั่งคั่งอยู่
ดร.ดวงมณีให้ข้อมูลต่อมาว่า ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยของการถือครองที่ดินอยู่ที่ 13.97 ไร่ โดยบุคคลที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นนิติบุคคล ถือครองที่ดินจำนวน 2,853,859 ไร่ และเมื่อแบ่งผู้ถือครองที่ดินทั้งประเทศออกเป็น 5 กลุ่ม พบว่ากลุ่มคนที่ถือครองพื้นที่น้อยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์แรก ถือครองที่ดินเฉลี่ย 0.086 ไร่ ขณะที่กลุ่มคนที่ถือครองพื้นที่มากที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์ท้าย ถือครองที่ดินเฉลี่ย 6.3 แสนไร่ ซึ่งมีความต่างกันประมาณ 729 เท่า
.jpg)
อีกทั้งยังพบว่า ผู้ถือครองที่ดินทั้งแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีคน 10 เปอร์เซ็นต์ ครอบครองที่ดินเป็นจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มีโฉนด และคนที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มีโฉนดที่เหลือ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินเป็นอย่างมาก โดยตัวเลขดังกล่าวหากรวมผู้ที่ไม่มีที่ดินถือครองจะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นไปอีก
นักวิชาการด้านคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลว่า ที่ผ่านมามีการพูดถึงกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และธนาคารที่ดิน แต่ไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่มาตรการทางภาษีจะช่วยเพิ่มต้นทุนในการถือครองที่ดิน เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน และช่วยให้มีการนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนธนาคารที่ดินจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงที่ดินได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องที่ดินไม่สามารถแก่ไขได้โดยใช้มาตรการในมาตรการหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
ชี้ 4 ประเด็นปัญหา ที่รัฐบาลนี้ (และที่ผ่านมา) แก้ไม่สำเร็จ
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า นโยบายการจัดการที่ดินถูกละเลยอย่างต่อเนื่องในแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องเผชิญปัญหามายาวนาน โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย พร้อมอธิบาย 4 ประเด็นปัญหานโยบายรัฐว่า ประกอบด้วย 1.ปัญหาพื้นฐานในการเข้าไม่ถึงสิทธิถือครองที่ดินโดยถูกกฎหมาย ยกตัวอย่าง ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ถึง 1.5 ล้านครอบครัว โดยไม่มีนโยบายแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่ชัดเจน ส่วนนโยบายโฉนดชุมชน กองทุนธนาคารที่ดิน ซึ่งต้องมีความเกี่ยวเนื่องกันก็ยังไม่เดินหน้า ทำให้ไม่เห็นความชัดเจนในการปฏิรูปเพื่อให้เกษตรกรได้เข้าถึงที่ดิน
ทั้งนี้ การปฏิรูปที่ดิน จาก สปก.ที่มีอยู่เดิมก็เป็นเพียงการนำที่ดินของรัฐซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมมาแจก ไม่ได้มุ่งปรับโครงสร้างการถือครองที่ดิน หรือทำให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างแท้จริง
2.ความไม่มั่นคงในการถือครองที่ดิน เนื่องจากไม่มีการกำหนดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อป้องกันการเก็งกำไร ทำให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากต้องสูญเสียที่ดิน ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้
.jpg)
3.ความไม่มั่นคงในชีวิตของภาคเกษตร ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมคือผู้ใช้แรงงานและการมีชีวิตอยู่ในภาคเกษตรเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนอยู่ได้ ทิศทางในการพัฒนาเกษตรจึงเป็นสำคัญ ดังนั้นการแจกที่ดินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงได้ ต้องมีนโยบายอื่นๆ ประกอบ ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่มีนโยบายในส่วนนี้ที่ชัดเจน
4.ความขัดแย้งเฉพาะหน้า ซึ่งมีทั้งกรณีที่เกิดความรุนแรง และกรณีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยข้อเสนอคือหากยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รัฐบาลควรชะลอการดำเนินการใดที่กระทบต่อชีวิต แล้วควรเปิดโอกาสให้ชาวบ้านพิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดิน ส่วนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ควรใช้เงินกองทุนยุติธรรมเข้าให้ความช่วยเหลือในการประกันตัวและต่อสู้คดี ทั้งนี้
ในตอนท้าย รศ.สมชาย แสดงความเห็นว่า การดำเนินการบางส่วนของรัฐบาลอยู่ที่ความเข้มแข็งของแต่ละพื้นที่ และผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องคิดแก้ปัญหาให้ชาวบ้านอย่างสันติ นอกจากนี้ตัวเลขจากงานวิจัยการถือครองที่ดินน่าจะช่วยทำให้สังคมมองเห็นความไม่เป็นธรรมได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันนโยบายเพื่อแก้ปัญหาการให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง
‘คดีโลกร้อนกับคนจน’ ชาวบ้านดันเต็มที่ แต่ผู้มีอำนาจไม่รับลูกต่อ
ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตน์ สถาบันธรรมรัฐเพื่อพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าว57’กรณีชาวบ้านถูกกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ ฟ้องร้องในคดีโลกร้อนว่า จากตัวเลขเดิมที่มีอยู่คือ 34 ราย 19 คดี ซึ่งอาจมีผู้ต้องคดีได้ต่อไปอีกถึง 2,000 ราย สะท้อนปัญหาโครงสร้างป่าไม้ที่ดินไทย ซึ่งอยู่บนความเชื่อผิด ๆ ว่า คนที่อยู่กับป่าคือ ผู้กระทำผิด ทั้งที่ความจริงที่เกิดขึ้นมีกรณีของกฎหมายป่าไม้ที่บุกรุกขับไล่คนออกจากพื้นที่ และกรณีของการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งออกตามนโยบายของรัฐบาล แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้บุกเบิกที่รัฐเคยส่งเสริมต้องกลายมาเป็นผู้บุกรุกที่รัฐต้องจับกุมในปัจจุบัน
ดร.บัณฑูรกล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา และได้ร่วมกับนักวิชาการ 16 คน ซึ่งตนเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทำข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีแบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมซึ่งใช้ในการฟ้องคดีโลกร้อนว่า มีวิธีคิดคำนวณที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้กรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้แก้ไขแบบจำลองดังกล่าว ทั้งต่อกรรมการสิทธิ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รวมทั้งยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แต่ก็ไม่เห็นถึงการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
ในส่วนของข้อเสนอ ดร.บัณฑูรกล่าวว่า ควรยุติการใช้แบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมด้งกล่าว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ อีกทั้งให้มีการพัฒนาแบบจำลองใหม่โดยหน่วยงานทางวิชาการ อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือสภาวิจัยแห่งชาติ ทั้งนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เท่าที่ติดตามยังไม่เคยเห็นการฟ้องคดีโลกร้อนกับนายทุนรายใหญ่ ซึ่งตรงนี้อาจเป็นปัญหาจากกระบวนการตรวจวัดผลงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทำให้ชาวบ้านต้องตกเป็นเป้าหมายเพื่อสร้างผลงานเพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจัดการกับนายทุนได้
.jpg)
รัฐบาลสอบตกแก้ปัญหาเกษตรกร เหตุทุ่มประชานิยม
รศ.สมพร อิศวิลานนท์ สถาบันคลังสมองแห่งชาติ กล่าวถึง การทำงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่ดินในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า ไม่มีความก้าวหน้า ทั้งในส่วนของการขยายเขตการจัดรูปที่ดินในพื้นที่ชลประทาน การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่ผู้ยากไร้ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน การจัดให้มีโฉนดชุมชน การสนับสนุนให้มีการตัดตั้งธนาคารที่ดิน การคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และการฟื้นฟูคุณภาพดิน
ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเกษตรเป็นนโยบายที่รัฐละเลย และให้ความสำคัญในระดับต่ำ และนโยบายทุ่มเทไปกับการยกระดับราคา และแทรกแซงกลไกตลาดของพืชบางชนิด อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือก ซึ่งนโยบายการแทรกแซงกลไกตลาดของพืชบางชนิดในระดับสูงนี้ได้สร้างผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิตพืชของไทย ขณะที่นโยบายด้านการเสริมสร้างและพัฒนากลไกตลาด และโครงสร้างตลาดสินค้าเกษตรและตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าถูกละเลย จะนำมาซึ่งความสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการเกษตรไทย
“นโยบายเกษตรของรัฐมีภาพไม่ชัดเจน ที่จะขับเคลื่อนนโยบายการจัดการ เพื่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชน และการก้าวไปสู่การเป็นครัวโลก หากจะให้คะแนนรัฐบาลระยะสั้นเต็มสิบ ถือว่าสอบผ่านหรือให้หก แต่ถ้ามองภาพรวมในระยะยาวถือว่าสอบตก การที่รัฐบาลมุ่งทำประชานิยมมากเกินไปจะเกิดผลเสียตามมา เป็นความเสียหายหลายแสนล้าน ขณะที่เงินหลายแสนล้านรัฐสามารถนำมาพัฒนาด้านอื่นๆ ได้”
.jpg)
นักวิชาการสถาบันคลังสมองแห่งชาติกล่าวถึงข้อเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการสูญเสียที่ดินทำกินในภาคเกษตร การคุ้มครองที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม การจัดตั้งกองทุนที่ดินเพื่อการเกษตร การจัดกรรมสิทธิ์การใช้ที่ดินในรูปของโฉนดชุมชน และควรเร่งให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการผลิตอาหาร รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข
อีกทั้งควรมีการกำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรใหม่ โดยเฉพาะในส่วนแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรของชุมชน และสร้างกลไกมาตรการทางภาษีเพื่อการปฏิรูปการถือครองที่ดินจำนวนมาก
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ

