‘เจาะลึกพนันบอล 9’ ชี้พนันบอลส่งผลกระทบอื้อ เงินรั่วไหลหลายร้อยล้าน จุดเริ่มต้นปัญหา ตัวนักพนันยันประเทศ

ทีมข่าว ศูนย์ข่าว TCIJ 23 ก.พ. 2555 | อ่านแล้ว 3711 ครั้ง

 

ปกติกฎหมายคือสิ่งเดียวที่ขวางกั้นระหว่างนักพนันกับการพนันทุกชนิด แต่ในโลกของความเป็นจริงสังคมตระหนักดีว่า กฎหมายไม่สามารถขัดขวางหรือสร้างความเกรงกลัวใดๆ ให้กับผู้ที่ชอบความเสี่ยงได้ ในงานวิจัยเรื่องหวย ซ่อง บ่อน ยาบ้า ธุรกิจนอกกฎหมายและนโยบายสาธารณะในประเทศไทย เมื่อปี 2544 ระบุว่า ประชาชนต้องขาดทุนไปกับการพนันถึงปีละ 399,500-518,600 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ ตัดมาเฉพาะส่วนของการพนันฟุตบอล พบว่าประชาชนจะขาดทุนประมาณ 12,000-16,000 ล้านบาทต่อปี

ทว่าราคาที่ประเทศไทยต้องจ่ายมิได้มีเพียงตัวเงิน เป็นที่รู้กันดีว่า ปัญหาการพนันบอลคือรากเหง้าของผลกระทบต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน อาชญากรรม ยาเสพติด การขายบริการทางเพศ หรือความแตกแยกในครอบครัว

 

ทำเงินรั่วไปตปท.ปีละหลายล้าน

 

เม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบของธุรกิจพนันบอลปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งหากมีรายการแข่งขันใหญ่ๆ อย่างฟุตบอลยูโรที่กำลังจะระเบิดแข้งกันในกลางปีนี้ วงเงินน่าจะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหลายหมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้แม้จะดูสูง แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าทางเศรษฐกิจของไทยทั้งประเทศ ก็ไม่น่าจะส่งผลได้

แต่ผลกระทบจากการพนันบอล ไม่สามารถมองเฉพาะปริมาณเงินเพียงอย่างเดียว เพราะเงินจากธุรกิจนี้สร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจบางประการที่เรานึกไม่ถึง ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ผู้ทำวิจัยเรื่องพนันบอล อธิบายว่า ผลกระทบด้านเศรษฐกิจประการแรกคือ เงินไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากโต๊ะบอลในประเทศ ส่งต่อให้กับโต๊ะบอลต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง โดยที่รัฐไม่สามารถเรียกเก็บอะไรจากเงินก้อนนี้ได้เลย หากนับเวลาที่ผ่านมาคาดว่าน่าจะอยู่ที่หลายร้อยล้านบาท ประการที่ 2 คือปัญหาเงินเฟ้อ

 

“ในทางเศรษฐกิจมองว่า การพนันบอลมีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนาย ก ได้เงินจากการพนันบอลในวันนี้ ขณะที่นาย ข เสียพนัน นาย ก ก็นำเงินไปใช้จ่าย วันรุ่งขึ้น นาย ก เสียพนัน นาย ข ได้ อำนาจซื้อจาก นาย ก ก็ถูกโอนไปให้นาย ข ซึ่งก็นำไปใช้จ่าย สรุปแล้วก็มีแต่ใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อุปสงค์สูงกว่าอุปทาน ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ”

 

เป็นแหล่งฟอกเงิน-ใช้ธุรกิจอื่นบังหน้า

 

ประการต่อมาคือ ทำให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม กรณีที่เจ้าของโต๊ะบอลมีธุรกิจถูกกฎหมายบังหน้า เงินจากธุรกิจพนันบอลย่อมถูกนำไปใช้ร่วมกับธุรกิจถูกกฎหมายด้วย ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการฟอกเงิน กรณีนี้ทำให้เจ้ามือโต๊ะบอลจะมีสายป่านยาวกว่า มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำธุรกิจผิดกฎหมายร่วมด้วย และสามารถลดราคาสินค้าที่ตนเองขาย เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ขายสินค้าประเภทเดียวกันได้ เมื่อผู้ผลิตรายอื่นสู้ราคาไม่ได้ก็ต้องถอนตัวออกจากตลาดไป นำไปสู่ปัญหาการผูกขาดตามมา

ปัญหาประการสุดท้ายที่ ดร.วิษณุ เห็นว่าน่าเป็นห่วงที่สุดคือ ทำให้ผลิตภาพ (Productivity)หรือ การปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อให้ผลผลิตมีปริมาณหรือมูลค่ามากขึ้นของประเทศ กลับลดลง

 

“ผมคิดว่าปัญหาจริงๆ ที่หนักๆ คือถ้าคนติดการพนันมาก ผลิตภาพจะลดลง จุดนี้เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นและไม่สามารถวัดได้ และการที่คนติดพนันไปเรื่อยๆ แทบจะไม่ได้วัดอะไรกับจีดีพีเลย แล้วอย่าลืมว่าจีดีพีวัดจากราคาของสินค้าในปีนั้น ยิ่งราคาสูงขึ้น ตัวเลขจีดีพีก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคือเมื่อเกิดเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพงขึ้น สภาพเศรษฐกิจอาจจะไม่ได้ดีขึ้น”

 

โต๊ะเอาเปรียบนักเล่นทุกทาง

 

เมื่อธุรกิจพนันบอลมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบสูง กำไรที่เจ้ามือโต๊ะบอลได้รับย่อมสูงตามไปด้วย ร.ต.อ.ดร.วิเชียร ตันศิริคงดล คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายว่า กำไรจำนวนมากจากธุรกิจนี้ ดึงดูดผู้ประกอบการเข้าสู่วงจร ซึ่งกำไรที่ว่าเกิดจากระบบที่เรียกว่า เอเชียน แฮนดิแค็ป เป็นระบบอัตราต่อรองที่ดัดแปลงจากตะวันตก เพื่อใช้เฉพาะในประเทศแถบเอเชียเท่านั้น ระบบดังกล่าวทำให้เจ้ามือแทบไม่มีโอกาสขาดทุนเลย ซึ่งระบบเอเชียน แฮนดี้แคป ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งในเมืองนอกเขาจะมีผู้กำกับดูแลไม่ให้เอากำไรมากเกินไป แต่โต๊ะเมืองไทยเอากำไรมากเกินไป

ซึ่งวิธีนี้ทำให้โต๊ะบอลมีกำไร 20 เปอร์เซ็นต์ต่อครั้ง หากวงเงินหมุนเวียนคือ 100,000 ล้านบาท กำไรของโต๊ะบอลจึงตกที่ 20,000 ล้านบาท ดร.วิเชียรตั้งข้อสังเกตว่า หากโยนเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ของกำไร เท่ากับประมาณ 2 พันล้านบาทให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกอย่างก็จบ แต่สิ่งนี้คือการพอกพูนปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย

 

จ่ายส่วยแล้ว-ตร.ก็ไม่มีความหมาย

 

รักษ์ (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ม.4 ผู้เป็นทั้งผู้เล่นพนันบอลและเด็กเดินโพย บอกว่า

 

“ผมไม่กลัวตำรวจจับเพราะทางโต๊ะก็ให้เงินตำรวจ เดือนละเป็นหมื่นบาท ออกเดินโพย บางทีก็เคยเจอตำรวจนะ เขาตรวจเจอโพย เราก็บอกเขาว่ามาจากโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ ตำรวจก็ไม่ว่าอะไร บางทีตำรวจก็เข้ามาที่โต๊ะ เขาก็ถามว่าส่งที่ใคร บางทีก็เข้ามาขอเหล้า ผมก็ต้องไปซื้อเหล้าให้เขา”

 

ขณะที่ คม (นามสมมติ) พนักงานออฟฟิศที่หารายได้เสริมด้วยการเป็นคนเดินโพย จนมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นถึง 200,000 บาทในระยะเวลา 8 เดือน ยืนยันว่า อาชีพเสริมที่เขาทำอยู่ไม่ต้องระแวงตำรวจ

 

“ผมไม่ระแวง เพราะผมมีคนคุ้มครอง จะดูสัญญาณจากตำรวจในพื้นที่เป็นหลัก ถ้าเขาขอความร่วมมือว่าให้เงียบ เราจะเงียบ เพราะเขาเองก็ต้องเซฟตัวเองด้วย เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้”

 

แมทช์พิเศษยอดจับนักพนันพุ่งเท่าตัว

 

ส่วนสถิติการจับกุมการพนันทายผลฟุตบอลของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ทั้ง 9 กองบังคับการ พบว่า ปี 2552 มีการจับกุม 1,497 ราย ผู้ต้องหา 1,525 คน ปี 2553 มีการจับกุม 3,356 ราย ผู้ต้องหา 3,426 คน ส่วนปี 2554 จำนวนการจับกุมคือ 1,424 ราย ผู้ต้องหา 1,434 คน

ในปี 2553 มีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเมื่อนำมาเทียบเคียงกับสถิติข้างต้น สามารถเห็นได้ชัดเจนว่า การแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่เชื่อมโยงกับจำนวนคดีที่เพิ่มขึ้น และอาจหมายถึงว่ามีการดึงผู้เล่นพนันบอลหน้าใหม่เข้าสู่วงจร

หากเชื่อมโยงกับข้อมูลข้างต้น ย่อมหมายความว่าสถิติการจับกุมที่ปรากฏนี้ น่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการกระทำผิดที่เกิดขึ้นจริง จึงสันนิษฐานได้ว่าเกิดการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับส่วยจากโต๊ะบอล ท้ายที่สุด การเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงอาชญากรรมประเภทอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับการพนันฟุตบอล เช่น การค้ายาเสพติด การค้าบริการทางเพศ การทวงหนี้ เป็นต้น เพราะหากสามารถตัดตอนการพนันฟุตบอลได้ แม้จะไม่ได้ทำให้อาชญากรรมประเภทอื่นๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็น่าจะสกัดคนอย่าง ดิเรก สุคนธสังข์ อายุ 24 ปี และจิราพร อายุ 24 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัย ให้ไม่ต้องตกสู่วังวนการค้ายาเสพติด เพื่อนำเงินไปใช้หนี้พนันบอลดังที่เป็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้

 

เป็นหนี้ไม่มีเงินคืน-หญิงชายพร้อมใช้ตัวแลก

 

สำหรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เป็นประเด็นที่ผู้คนทั่วไปมักมองไม่เห็น เพราะซับซ้อนเกินไป การคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งผิดปกติที่สังคมไทยชินชา แต่ผลกระทบทางสังคมดูจะเป็นผลกระทบที่ทุกฝ่ายเห็นชัดและน่ากังวลที่สุด เมื่อมีสถิติระบุว่า นักเรียนชั้น ม.1-ม.6 ถึง 26.8 เปอร์เซ็นต์ เล่นการพนันฟุตบอลกันแล้ว

ซึ่งหากการเล่นพนันบอลแบบพอหอมปากหอมคอก็ยังพอทำเนา ปัญหาอยู่ที่ว่าผู้เล่นพนันบอลไม่น้อย เกิดความโลภ เมื่อเสียพนัน จะเพิ่มเงินเดิมพันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อถอนทุนคืน และเมื่อได้ก็อยากได้เพิ่มขึ้นอีก กระทั่งหลุดเข้าสู่วงจรหนี้สิน และการดิ้นรนจ่ายหนี้ โดยไม่เลือกวิธีการก็ทำให้หลุดสู่วังวนอาชญากรรมอื่นๆ ดังตัวอย่างของสองนักศึกษา

ผู้ที่ติดหนี้พนันบอลส่วนหนึ่งหาทางออกด้วยการค้าประเวณี อดีตมักมีข่าวว่าฝ่ายชายบังคับฝ่ายหญิงค้าประเวณีเพื่อนำเงินไปใช้หนี้พนันบอล แต่ต่อมาผู้หญิงเองกลับเป็นหนี้ไม่ต่างกัน ดร.วิษณุกล่าวว่า จากการสำรวจผู้หญิงเล่นพนันบอลมากกว่าผู้ชาย แต่จำนวนเงินเดิมพันน้อยกว่า แต่เมื่อเจอกลยุทธ์แทงปากเปล่าหรือเครดิตของเจ้าของโต๊ะบอล เงินน้อยจึงค่อยๆ สะสมมากขึ้นจนเป็นก้อนใหญ่โดยไม่รู้ตัว สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการใช้เรือนร่างแลกเงิน

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ยืนยันว่ากรณีการค้าประเวณีเพื่อนำเงินไปใช้หนี้หรือร่วมหลับนอนกับเจ้าของโต๊ะบอลมีอยู่จริง หรือหากมีก็ยังไม่เคยพบ เนื่องจากการพนันบอลเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ทว่า ปัจจุบัน การค้าประเวณีเพื่อจ่ายหนี้พนันบอลไม่ได้เกิดเฉพาะผู้หญิงอีกแล้ว ผู้ชายก็หันมาใช้วิธีนี้เช่นเดียวกัน ดังที่มีการประกาศทำนองว่า ‘น้องชายคนไหนเสียบอล เกย์ช่วยได้’ในเว็บไซต์บางแห่ง

ในระดับตัวบุคคล นักเรียน นิสิต นักศึกษา ถูกการพนันบอลหันเหจากการเรียน เช่นกรณีของ หนุ่ม (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ช่วงที่เขาติดพนันบอลหนักๆ เขาไม่อ่านหนังสือเลย เวลาหมดไปกับการนั่งลุ้นผลฟุตบอลตลอดทั้งคืน

 

เลิกได้ต้องใช้สติ-ปัญญา-ครอบครัว

 

บ้างก็ลุกลามเป็นปัญหาในครอบครัว บิ๊ก (นามสมมติ) เล่าประสบการณ์ว่า

 

“พอเสียเงินจะเครียด อารมณ์เสีย แล้วกระทบเรื่องอื่นๆ ตามมา ทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว ตอนนี้เป็นหนี้คนในครอบครัวประมาณ 200,000 บาท ซึ่งเมื่อเป็นหนี้แล้วทำให้หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย อีกอย่างคือการพนันมันเป็นการฝึกความขี้เกียจอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ เงินเดือนหมื่นกว่าบาทก็ไม่พอใช้”

 

ซึ่งหากมองผลกระทบที่กล่าวมา อาจเป็นเพียงภาพชิ้นเล็กๆ ที่กระจายอยู่ในประเทศไทย แต่หากหยิบทุกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหรือเปิดเผยว่าได้รับผลกระทบจากการพนันบอล เชื่อว่ามีเรื่องราวที่คาดไม่ถึง และรุนแรงอีกมากมายมหาศาล ที่หลบซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้น หรือใกล้ถึงจุดจบที่น่าเศร้าก็เป็นไปได้ ฉะนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อการพนันบอลในประเทศไทย พัฒนามาถึงการเล่นพนันทางเว็บไซต์ที่ยากต่อการตรวจสอบ ควบคุม จับกุม ปราบปรามแล้ว คงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่จะหยุดปัญหาหรือลดปัญหาได้ นั่นก็คือ สติ กับ ปัญญา ของผู้คนทั้งหลายว่า จะสามารถควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบของจริยธรรม และศีลธรรมได้มากน้อยเพียงใด และครอบครัวจะดูแลเพื่อไม่ให้สมาชิกเข้าไปร่วมกับวังวนแห่งการเสี่ยงทายกับการพนันนี้ได้อย่างไร

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: