ความสุขและความทุกข์ของคนทำงาน

19 ธ.ค. 2555 | อ่านแล้ว 3232 ครั้ง


อัตราการฆ่าตัวตาย

 

    ปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นตัวสะท้อนที่ทำให้เห็นถึงการมีภาวะความเครียด โดยแนวโน้มของผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ คือ กลุ่มคนในวัยทำงาน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงอายุ 25-59 ปี


1. ช่วงอายุที่มีการฆ่าตัวตายสูง

     ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข แสดงให้เห็นแนวโน้มปัญหาการฆ่าตัวตายของประชากรในกลุ่มคนวัยต่างๆ ตั้งแต่ปี 2548-2553 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นกับกลุ่มวัยทำงาน กลุ่มคนในวัยทำงานอายุระหว่าง 15-59 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด 7.1 ต่อแสนประชากร สาเหตุของการฆ่าตัวตาย คือ ความเครียด รองลงมา คือ โรคซึมเศร้า ติดยาเสพติด และการเจ็บป่วยทางกาย

     ทั้งนี้ในจำนวนกลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-59 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.6 ต่อแสนประชากร มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.2 ต่อแสนประชากร ซึ่งสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายมากที่สุด คือ ผิดหวังในเรื่องความรัก ประสบกับปัญหาการเล่าเรียน และปัญหาทางด้านครอบครัว (ดังตารางที่ 1)

 

 

ตารางที่ 1 อัตราตายจากการฆ่าตัวตาย จำแนกตามกลุ่มอายุปี 2548-2553

 

ที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข อ้างใน ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553

 

2.  สัดส่วนของเพศในกลุ่มวัยแรงงานที่มีการฆ่าตัวตายสูง


     นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 4 เท่าตัวของการฆ่าตัวตายของทุกปี โดยข้อมูลล่าสุดของอัตราการฆ่าตัวตายในเพศชาย คือ ร้อยละ 77.1 ส่วนอัตราการฆ่าตัวตายในเพศหญิงอยู่ที่ ร้อยละ 22.4 (ดังภาพที่ 1)

 

 

ภาพที่ 1 สัดส่วนการฆ่าตัวตายของวัยแรงงานอายุ 15-59 ปี จำแนกเพศ 2542-2553

ที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข อ้างใน ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553 

 

การประกอบอาชีพและมิติของความสุข 

 

     สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับคะแนนสุขภาพจิต โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 จากจำนวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 27,000 ครัวเรือน เพื่อให้ทราบถึงสภาพของสังคมไทยเกี่ยวกับพฤติกรรม ค่านิยม วัฒนธรรม และสุขภาพจิตของคนไทย พบว่า อาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นกลุ่มอาชีพที่มีสุขภาพจิตดีกว่าอาชีพอื่น เพราะมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ โดยมีคะแนนสุขภาพจิตสูงสุดอยู่ที่ 33.8 จากคะแนนเต็ม 45 คะแนน รองลงมาคือ นักเรียน (32.6 คะแนน) ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว (32.2 คะแนน) และเกษตรกร (32.1) ส่วนอาชีพที่มีสุขภาพจิตต่ำกว่าอาชีพอื่น คือ อาชีพรับจ้างรายวัน (30.1 คะแนน) เพราะเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงและมีรายได้ที่ไม่แน่นอน (ดังภาพที่ 2) 

 

ภาพที่ 2 คะแนนสุขภาพจิตคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จำแนกตามอาชีพปี 2551 (คะแนนเต็ม 45 คะแนน)

ที่มา : รายงานการสำรวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม สำนักงานสถิติแห่งชาติ อ้างใน ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553

 

     นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายนั้นเป็นความสูญเสียทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานซึ่งถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของ

ฉะนั้นชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่มีความยากลำบากและไม่มีความมั่นคงในชีวิต อย่างเช่น กลุ่มแรงงานรับจ้างรายวัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรหันมาให้การอบรมส่งเสริมความรู้ พร้อมกับสร้างทักษะในการแก้ไขปัญหา

 

สถานการณ์โรคและการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ

 

    การเจ็บป่วยของแรงงานในระบบจากฐานข้อมูลประกันสังคม พ.ศ. 2551 ยังพบว่า มีผู้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงานทั่วประเทศจำนวน 176,502 ราย โดยจำแนกออกเป็นผู้ป่วยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากที่สุด จำนวน 111,740 ราย รองลงมาได้แก่ เขตภาคกลาง จำนวน 40,892 ราย เขตภาคใต้ จำนวน 8,220 ราย เขตภาคเหนือ จำนวน 8,165 ราย และเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7,485 ราย ตามลำดับ


     จากผลการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี พ.ศ. 2552 มีแรงงานนอกระบบที่เคยได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุมีจำนวนถึง 4.6 ล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 18.9 ของกลุ่มแรงงานนอกระบบ และพบว่ามีแรงงานนอกระบบที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุมีจำนวนเฉลี่ยวันละ 12,603 คนต่อวัน โดยลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากการถูกของมีคมบาด หรือทิ่มแทงมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 68.7 รองลงมาเป็น การพลัดตกหกล้ม ร้อยละ 13.5 การชนและกระแทก ร้อยละ 7.8 ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก ร้อยละ 3.9 อุบัติเหตุจากยานพาหนะ ร้อยละ 3.7 ได้รับสารเคมี ร้อยละ 1.2 ไฟฟ้าช็อต ร้อยละ 0.4 และอื่นๆ ร้อยละ 0.8 ตามลำดับ

      อย่างไรก็ตาม สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยด้วยโรคจากสารเคมีจากการประกอบอาชีพทั่วประเทศไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2551 พบผู้ป่วยทั้งหมด 2,141 ราย ในจำนวนนี้ป่วยด้วยพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์มากที่สุดเป็นจำนวน 1,705 ราย รองลงมาได้แก่ โรคพิษจากสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 165 ราย โรคปอดนิวโมโคนิโอซิส 135 ราย โรคพิศจากก๊าซและไอระเหย 69 ราย โรคพิษแมงกานีส พิษปรอทและพิษสารหนู 42 ราย และโรคพิษตะกั่ว 25 ราย เมื่อวิเคราะห์การเจ็บป่วยในแต่ละโรคแล้ว พบว่า โรคต่างๆ นั้นมีความสำพันธ์กับการทำงาน ซึ่งสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคได้รายงานสิถิติการเจ็บป่วยของแต่ละกลุ่มโรคซึ่งจำแนกตามกลุ่มอาชีพไว้ดังนี้



โรคจากการประกอบอาชีพที่สำคัญ

1. โรคพิษจากสารกำจัดศัตรูพืช (Pesticide poisoning)

     สารเคมีกำจัดเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ถูกนำมาใช้ทั้งในการเกษตรและกำจัดแมลงในบ้านเรือน ดังนั้นทั้งตัวเกษตรกรเองและคนทั่วไปจึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีจากการสัมผัสต่างๆ เช่น ทางผิวหนัง ช่องปาก และทางลมหายใจ ในปี พ.ศ. 2543 – 2552 มีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เฉลี่ยปีละ 1,996 ราย สูงสุดในปี พ.ศ.2543 จำนวน 3,109 ราย ต่ำสุดในปี พ.ศ. 2549 จำนวน 1,251 ราย โดยหลังจากนั้นมีแนวโน้มการป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการแยกการรายงานที่มีสาเหตุจากการทำร้ายตนเองออก (ดังภาพที่ 1)

 

 

ภาพที่ 1 Reported Cases of Pesticide poisoning per 100,000 Population, by Year, Thailand, 2000 - 2009 

ที่มา :รายงานโรคพิษจากสารกำจัดศัตรูพืช (Pesticide Poisoning) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552
 

      จากการรายงานข้อมูลในปี พ.ศ. 2552 พบว่า อาชีพที่ป่วยด้วยโรคนี้สูงสุด ได้แก่ อาชีพเกษตรกร จำนวน 694 ราย (ร้อยละ 41.04) รองลงมา คือ รับจ้าง 420 ราย (ร้อยละ 24.84) เด็กในปกครองและเด็กนักเรียน 448 (ร้อยละ 26.49) และอาชีพอื่นๆ 129 (ร้อยละ 7.63)

      ตลอดทั้งปีของทุกปีจะพบผู้ป่วยสูงในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม ในปี พ.ศ. 2552 สถิติที่พบผู้ป่วยสูงสุดจะอยู่ในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม รวม 561 ราย (ร้อยละ 33.18) ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนเกษตรกรเริ่มเพาะปลูกและมีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูร่วมด้วย (ดังภาพที่ 2)
 

 

ภาพที่ 2 Reported Cases of Pesticide poisoning, by Month, Thailand, 2009 (2552) 

ที่มา :รายงานโรคพิษจากสารกำจัดศัตรูพืช (Pesticide Poisoning) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552
 

2.โรคพิษจากสารทำละลายอินทรีย์ (Organic solvent poisoning))

     สารระเหยและสารทำละลายอินทรีย์เป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และถูกนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ มากมาย อาทิเช่น อุตสาหกรรมการผลิตอิเลคทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ ทอผ้า ย้อมผ้า ฯลฯ ซโดยสารพิษดังกล่าวส่งผลกระทบให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตต่อผู้สัมผัส สารละลายอินทรีย์ที่ก่อให้เกิดพิษที่สำคัญ ได้แก่ เบนซีน โทลูอีน สไตรีน ไตรคลอโรเอธีนลีน และอื่นๆ เป็นต้น

      จากการรายงานข้อมูลผู้ป่วยในปีพ.ศ. 2547-2552 พบว่า แนวโน้มของผู้ป่วยด้วยโรคพิษจากสารละลายอินทรีย์มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2550 แต่หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มลดลงในปีถัดมา (ดังภาพที่ 3)

 

ภาพที่ 3 Reported Cases of Organic solvent poisoning per 100,000 Population, and Case fatality Rate, by Year, Thailand, 2000 - 2009

ที่มา :รายงานโรคพิษจากสารทำละลายอินทรีย์ (Organic solvent Poisoning) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552 

 

 

     โดยข้อมูลในปี พ.ศ. 2552 พบว่า อาชีพที่ป่วยด้วยโรคนี้สูงสุดคือ อาชีพรับจ้าง 35 ราย (ร้อยละ 23.64) รองลงมาคือ เกษตรกรรม 30 ราย (ร้อยละ 20.27) และนักเรียน 11 ราย (ร้อยละ 7.43) และ ไม่ทราบอีก 53 ราย (ร้อยละ 35.81)

3. โรคปอดจากการประกอบอาชีพ

     โรคปอดเกิดจากการสูดเอาอณูของสารพิษเข้าไปข้างในทำให้เกิดการระคายเคือง หรือเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ ปอดจะถูกทำลายหรือเป็นพังผืดที่เนื้อปอด และสูญเสียการทำงานไปในที่สุด

     จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 จนถึง ปีพ.ศ. 2552 พบว่า แนวโน้มของผู้ป่วยด้วยโรคปอดจากการประกอบอาชีพมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ดังภาพที่ 4)
 

ภาพที่ 4 Reported Cases of Occupational lung diseases per 100,000 Population, by Year, Thailand, 2009 2000 - 2009 

ที่มา :รายงานโรคปอดจากการประกอบอาชีพ (Occupational lung diseases) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552 

 

    ทั้งนี้ โรคปอดยังจำแนกออกเป็นโรคปอดที่เกิดจากการทำงาน โดยการสัมผัสฝุ่นอนินทรีย์ เช่น ซิลิโคลิส และฝุ่นแร่อื่นๆ ดังมีข้อมูลผู้ป่วยดังนี้


3.1 โรคปอดจากฝุ่นหินทราย (Silicosis)

    จากรายงานผลการเฝ้าระวังโรคปอดจากฝุ่นหินทรายในช่วงปี 2545- 2552 ของสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกของพนักงานโรงโม่หิน ชุมชนโรงโม่หิน และกลุ่มสกัดครกหิน พบว่า มีแนวโน้มของผู้ที่มีสมรรถภาพปอดต่ำกว่าเกณฑ์ปกติเพิ่มขึ้น โดยในปี 2552 จากการตรวจสุขภาพรายใหม่ด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกของโรงพยาบาลจังหวัดชลบุรี ในกลุ่มพนักงานโรงโม่หินจำนวน 861 คน กลุ่มสกัดครกหินอ่างศิลา จำนวน 58 คน กลุ่มชุมชนโรงโม่หิน จำนวน 31 คน พบว่า มีอุบัติการณ์โรคปอดฝุ่นหินในกลุ่มสกัดครกหินมากที่สุด ร้อยละ 10.34 รองลงมา ได้แก่ กลุ่มชุมชนโรงโม่หิน ร้อยละ 9.68 และกลุ่มพนักงานโรงโม่หิน ร้อยละ 3.48

3.2 โรคปอดจากแร่ใยหิน (Asbestosis)

    จากรายงานการเฝ้าระวังและค้นหาโรคปอดจากแร่ใยหินของกรมควบคุมโรคในปี 2551 ในกิจการประเภทเดียวกันจำนวน 14 แห่งในกลุ่มคนงานที่เสี่ยง พบว่า มีผู้ผิดปกติเป็นโรคนี้ จำนวน 39 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.9 และมีคนทำงานที่คาดว่าจะป่วยจากแร่ใยคิดในอนาคตจำนวน 20 ราย โดยการทำ High-Resolution CT Scan

    ทั้งนี้มีผลการตรวจฝุ่นแร่ใยหินในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เกินเกณฑ์มาตรฐานของ ACGIH (American Conference of Industrial Hygienists) จำนวน 16 ตัวอย่าง และเกินเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 2 ตัวอย่าง

4. สารพิษจากตะกั่ว (Leading poisoning)

    ตะกั่วเป็นแร่ธาตุประเภทโลหะหนักถูกนำมาใช้ในขบวนการผลิต เช่น โรงงานถลุงและหลอมตะกั่ว โรงงานทำแบตเตอรี่ ทำหม้อน้ำรถยนต์ สีทาบ้าน เป็นต้น สาเหตุของการป่วยเกิดจากการสูดไอตะกั่ว หรือกิน หรือสัมผัสสารตะกั่ว (ดูดซึมผ่านผิวหนัง) เป็นเวลานาน จนร่างกายมีการสะสมสารตะกั่ว ถึงระดับที่เป็นพิษมักเกิดจากการประกอบอาชีพในโรงงานที่มีสารตะกั่ว

    จากรายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2552 มีรายงานผู้ป่วยพิษสารตะกั่ว จำนวน 397 ราย เฉลี่ยปีละ 39.7 ราย จากแนวโน้มการป่วย พบ ผู้ป่วยสูงสุดในปี พ.ศ. 2544 จำนวน 104 ราย และพบผู้ป่วยต่ำสุดในปี พ.ศ. 2548 จำนวน 14 ราย หลังจากนั้นแนวโน้มการเจ็บป่วยก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ (ดังภาพที่ 5
 

ภาพที่ 5 Reported Cases of Lead poisoning per 100,000 Population, by Year, Thailand, 2000 - 2009 

ที่มา :รายงานพิษโลหะหนัก (Occupational lung diseases) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552 


ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: