นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีครูทั้งหมด 24,000 คน ในจำนวนดังกล่าวร้อยละ 30 หรือประมาณ 8,000 คน เป็นครูอัตราจ้างสอน และยังมีธุรการจ้างอีกประมาณ 19,998 คน ซึ่งขณะนี้ประเทศต้องการอัตรากำลังคนสายอาชีพที่มีคุณภาพสูง ฉะนั้นสอศ.จึงต้องการได้บุคลากรที่มาสอนสายอาชีพ มีความเก่งในอาชีพนั้น ๆ จริง และการเข้าสู่การเป็นครูอัตราจ้างสอน นอกจากจะต้องมีความเก่งแล้ว กระบวนการสรรหาจะต้องมีความเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล
ดังนั้นสอศ.จะปรับหลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกครูอัตราจ้างสอน โดยตั้งแต่เดือน มกราคม 2556 เป็นต้นไปจะขอให้ทุกวิทยาลัยในสังกัด สอศ.ไม่ประกาศการรับอัตราจ้างใหม่ทั้งในตำแหน่งครูและธุรการ ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้สำนักอำนวยการ สอศ.ตั้งคณะทำงานขึ้นมา กำหนดกรอบอัตรากำลัง ว่าในแต่ละวิทยาลัยควรมีอัตราจ้างเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้รู้ว่ามีครูจริงเท่าไหร่ ขาดอยู่เท่าไหร่ และให้จ้างได้ไม่เกินกรอบอัตรากำลังที่กำหนด
เลขาธิการกอศ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ก็จะมากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสรรหาครูจ้างและธุรการ เช่น ตรงวิชาเอกที่สถานศึกษาต้องการ มีความรู้ความสามารถ มีวิธีการสรรหาที่โปร่งใสและเป็นธรรม มีกรรมการขึ้นมาคัดเลือก เป็นต้น ทั้งนี้จะกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการตามกรอบ และหลักเกณฑ์ที่ส่วนกลางกำหนด ซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และให้สถานศึกษานำไปใช้สรรหาครูจ้างและธุรการได้ในช่วงปิดเทอมที่จะถึงนี้ และสามารถจ้างครูและธุรการมาทำหน้าที่ได้ทันเปิดภาคเรียนที่ 1/2556
“การเป็นครูจ้างอาชีวศึกษาจะมีสิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง คือเมื่อทำงานครบ 3 ปี จะมีสิทธิ์สอบบรรจุเป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา โดย สอศ.จะคัดเลือกสอบบรรจุจากครูอัตราจ้างเหล่านี้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่กำหนดรับจากครูอัตราจ้างเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์ เปิดรับทั่วไป ดังนั้นการคัดกรองตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเข้ามาเป็นครูอัตราจ้างจะทำให้ สอศ.ได้บุคลากรที่เก่งมาเป็นครู” นายชัยพฤกษ์กล่าว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ