แฉรัฐผลาญงบลอกคลอง ชี้ไม่ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม

วรลักษณ์ ศรีใย ศูนย์ข่าว TCIJ 24 ธ.ค. 2555 | อ่านแล้ว 1077 ครั้ง

 

 

รัฐผลาญงบฯ ขุด ลอก คลองแก้ปัญหาน้ำท่วม

 

 

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กล่าวในเวทีเสวนาว่า รัฐบาลตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมหลายชุด แต่ไม่มีชุดไหนที่เปิดโอกาสให้มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และจากการลงพื้นที่ในหลายจังหวัดพบว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะใช้วิธีการขุดลอก คู คลอง โดยไม่มีการศึกษาภาพรวม และผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น การขุดลอกแม่น้ำสะแกกรัง เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว ใช้งบประมาณ 900 ล้านบาท

 

 

              “แม่น้ำแทบจะไม่ใช่แม่น้ำแล้ว ขุดลอกกันเละเทะมาก เช่น แม่น้ำสะแกกรัง ที่ถือว่าเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา ใน จ.อุทัยธานี กว้างประมาณ 30 เมตร ตรงกลางลำน้ำมีต้นไผ่ขึ้นเต็มไปหมด ทำให้น้ำเอ่อจากน้ำสะแกกรังท่วมจ.อุทัยธานี  วิธีแก้ปัญหาคือ ขุดริมตลิ่งลำน้ำสะแกกรัง จากเดิมกว้างประมาณ 30 เมตร ขยายออกเป็น 70 เมตร แล้วถอนต้นไม้ริมตลิ่งออกหมด ขุดลอกประมาณ 90 กิโลเมตร ใช้งบประมาณ 900 ล้านบาท เวนคืนพื้นที่รอบด้าน จากแม่น้ำที่เคยคดโค้งกลายเป็นเส้นตรง  สะพานที่เคยสร้างเพื่อแม่น้ำ 12 เมตร ตอนนี้ต้องขยายสะพานกว้างขึ้น”

 

 

 

แม่น้ำสะแกกรังยังมีการก่อสร้างฝายเป็นจุด ๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วมในช่วงที่แม่น้ำมีความกว้าง 30 เมตร และเมื่อแม่น้ำถูกขยายถึง 70 เมตร ฝายนี้เหมือนสิ่งปลูกสร้างกลางลำน้ำที่ไม่เกิดประโยชน์อันใด ทั้งนี้การขุดลอก ลำน้ำ สร้างความเสียหายมากในช่วงหน้าแล้ง เพราะทรายจะเต็มแม่น้ำและน้ำแห้ง  ซึ่งแนวคิดการขยายแม่น้ำคือ ถ้าแม่น้ำกว้างขึ้น น้ำจะเพิ่มจำนวนตามขนาดของแม่น้ำ แต่ผลที่เกิดขึ้นกลายเป็นทรายที่เต็มแม่น้ำ ปลา ผักพื้นบ้าน ผักบุ้ง ผักกูด ที่ชาวบ้านเคยหาได้ ไม่เหลือแล้ว

 

นายหาญณรงค์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในปี 2556 กรมทรัพยากรน้ำ ตั้งงบประมาณในการขุดลอก คู คลอง ไว้สูงถึง 10,000 ล้านบาท มีโครงการ 200 กว่าโครงการ ใช้ชื่อว่า โครงการอนุรักษ์ขุดลอกธรรมชาติ ในขณะที่กรมชลประทานมีงบประมาณสำหรับการจัดการน้ำประมาณ 17,000 ล้านบาท ขณะที่บางระกำโมเดลแต่เดิมไม่มีการแผนการขุด ลอก ก่อสร้างแต่อย่างใด แต่วันนี้มีการขุดลอกหนองน้ำ 3 แห่ง คือ บึงระมาน บึงขี้แล้ง และบึงระเก็ง ปริมาณดินที่ขุดได้ในแต่ละบึงประมาณ 2-3 ล้านคิว ปัญหาคือ ไม่มีพื้นที่ที่จะกองดินที่ขุดขึ้นมา บึงระมานบึงเดียวต้องขุดดินมากถึง 14 ล้านตัน รับน้ำได้ 12 ล้านคิว ซึ่งไม่ได้แก้ไขปัญหาน้ำท่วม

 

 

              “การขุดลอก ไม่ได้อยู่ในแผน แต่เป็นแนวคิดในการจัดการน้ำที่ใกล้เคียง และนี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น การแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำ ด้วยวิธีวัวหายแล้วล้อมคอก”

 

 

แนะกรมชลฯปรับการทำงาน เข้ากับชาวบ้านให้มากขึ้น

 

 

จากผลกระทบที่เกิดขึ้น นายหาญณรงค์สรุปว่า การจัดการน้ำที่เป็นอยู่ เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของชุมชน และเสนอให้หน่วยงานที่ทำงานด้านการจัดการน้ำ ทั้งกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ ปรับท่าทีในการทำงานร่วมกับชุมชน เช่น หากโครงการที่ดำเนินการไปแล้วเกิดการผิดพลาด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมีการปรับแผนและทำงานร่วมกับชุมชนได้

 

 

              “กรมชลประทาน หรือกรมทรัพยากรน้ำ ไม่ควรใช้ข้ออ้างว่า ตั้งงบประมาณแล้วปรับไม่ได้ ต้องใช้ให้หมด จากสถานการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 ทำให้คาดการณ์ว่า ปี 2555 น้ำจะต้องท่วมอีก ด้วยแนวคิดแบบนี้จึงนำไปสู่การตั้งงบประมาณเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งน้ำมีหน้าที่ทั้งในเชิงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ถ้าเราใช้งบประมาณเพื่อการจัดการเพียงอย่างเดียว จะเสียหายมากกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 350,000 ล้านบาท เราอาจจะต้องเสียงบประมาณมากกว่านี้สิบเท่า แต่คงไม่สามารถจัดการแม่น้ำให้คืนมาเหมือนเดิมได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นายหาญณรงค์ยกตัวอย่างกรณีในภาคใต้ จ.พังงา ระนอง ใช้งบประมาณ 40 กว่าล้านบาท ในการจัดการล้ำน้ำด้วยการขุดลอก คู คลอง แต่ต้องใช้งบประมาณ 200 กว่าล้านบาท ในการทำลำน้ำให้เหมือนเดิม ซึ่งยังทำไม่ได้ การที่สมัชชาองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมนำเสนอประเด็นเรื่องน้ำ เนื่องจากหากการจัดการน้ำไม่ถูกต้องเรื่องเดียว จะทำให้เกิดความเสียหายทุกเรื่อง ทั้งเรื่องป่า โครงการก่อสร้างเขื่อน ฝาย ซึ่งกระทบทั้งระบบ รวมถึงผลกระทบชายฝั่งทะเล เราคงไม่พูดว่าจะจัดการกับมันอย่างไร แต่วันนี้ควรจะปรับให้ชุมชนได้อยู่กับธรรมชาติอย่างมีความสุข และเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น

 

 

              “ตอนนี้ทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่ากลางคน แทบจะไม่ทราบเลยว่าน้ำประปาที่เปิดจากก๊อกที่บ้าน มีต้นน้ำมาจากไหน เราใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาหรือแม่น้ำแม่กลอง วันนี้ผมว่าเราต้องกลับไปสู่รากเหง้ามากกว่าการจัดการ ต้องพูดเรื่องเชิงวัฒนธรรมด้วย ต้องพูดมากกว่าการได้น้ำเพียงอย่างเดียว” นายหาญณรงค์กล่าว

 

 

ชาวท่าจีนไม่เอาฟลัดเวย์

 

 

ด้านนายกมล เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้แทนจากสภาลุ่มน้ำท่าจีน กล่าวว่า รัฐบาลมีโครงการจะให้แม่น้ำท่าจีนช่วงจ.นครปฐม เป็นฟลัดเวย์ เป็นทางผ่านน้ำ เพื่อระบายน้ำก่อนเข้ากรุงเทพมหานคร ซึ่งชาวนครปฐมไม่ได้ขัดขวาง แต่สิ่งที่น่าวิตกคือ รัฐบาลไม่ได้มีโครงการต่อเนื่อง ว่าจะผันน้ำจากแม่น้ำท่าจีนให้ลงทะเลได้อย่างไร เพียงแค่ใช้กลไกขึ้นลงของน้ำทะเลผลักดันน้ำลงสู่ท่าจีน ภายใต้การจัดการที่ล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่มีวิธีการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

 

 

              “สภาลุ่มน้ำท่าจีนไม่เห็นด้วยกับการทำฟลัดเวย์ ที่แม่น้ำท่าจีน เพราะฟลัดเวย์คือการแก้ปัญหาที่ปลายทาง แต่ไม่มีการขุดลอกคูคลองที่มีอยู่เพื่อรองรับน้ำ ซึ่งสภาลุ่มน้ำท่าจีนต้องขอเงินเอกชนเพื่อขุดลอกคูคลอง”

 

 

ขณะนี้มีการคิดแผนในการจัดการน้ำลุ่มน้ำตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน โดยกันฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีนทั้งแนว ตั้งแต่คลองพระยาบันลือลงมา ใต้อ.สามพรานจนถึงปากอ่าวไทย เพื่อไม่ให้น้ำย้อนกลับไปท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งการแบ่งแยกการจัดการน้ำในพื้นที่เป็นตอน ๆ เช่นนี้ หากถ้ามีน้ำทำลายพนังกั้นน้ำจุดใดจุดหนึ่ง น้ำจะทะลักท่วมกรุงเทพฯ ทันที เพราะการทำพนังกั้นน้ำเท่ากับการยกน้ำให้สูงเป็นเมตร และเมื่อน้ำกลับเข้าท่วมในพื้นที่ได้ จะท่วมนานกว่าเดิม และแนวคิดการจัดการน้ำแบบทำกำแพงกั้นนั้น เป็นการสร้างความขัดแย้งของคน 2 พื้นที่ให้เกิดขึ้นสูงมาก ดังนั้นขอให้ศึกษาแม่น้ำท่าจีนก่อนที่จะมีโครงการจัดการน้ำ และควรจะขุดลอกอย่างเป็นระบบ ฟื้นฟูคูคลองที่มีอยู่แล้วให้กลับคืนมาให้ได้มากที่สุด การดูแลแม่น้ำเก่าและมีการบูรณะ 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: