ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ประเด็นโครงการจัดซื้อจัดจ้าง และโครงการปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือถูกฝ่ายค้านหยิบเอาไปอภิปรายถึง 2 เรื่อง ซึ่งต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ขณะที่ในปีงบประมาณ 2556 กองทัพบกก็มีโครงการจัดซื้ออาวุธหลายโครงการที่น่าจับตาเช่นกัน
โครงการแรก คือ โครงการจัดซื้อ เฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กกฮอว์ก หรือฮท.60 (UH-60 L Black Hawk) ผลิตโดย บริษัท ซิกอร์สกี้ แอร์คราฟท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 3 ลำ ซึ่งถือเป็นลอตสุดท้ายที่มีการจัดซื้อในสมัยของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก
ทั้งนี้ จากเดิมเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก มีกำหนดส่งมอบให้กองทัพประมาณเดือนธันวาคม 2555 แต่ได้มีการนำไปติดตั้งระบบเรดาร์ และถึงระบบการบินเพิ่มเติม จึงทำให้ต้องเลื่อนการจัดส่งไปประมาณเดือนมิถุนายน 2556 สาเหตุที่ต้องจัดซื้อเพิ่มเติม เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อภารกิจของกองทัพบก
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก เพิ่มเติม โดยเป็นแบล็กฮอว์กรุ่นใหม่ คือ "รุ่นเอ็ม" ราคาเครื่องละ 1,500 ล้านบาท จำนวน 3 เครื่อง ซึ่งทั้งหมดจะทำการบินด้วยระบบดิจิตอล แต่จะไม่มีเรดาร์ เพราะหากติดเรดาร์จะทำให้ต้องเพิ่มงบประมาณอีก
สำหรับการจัดซื้อแบล็กฮอว์ก รุ่นเอ็ม เป็นการจัดซื้อแบบแพ็กเกจ มีการฝึกสอนนักบิน จำนวน 12 คน รวมทั้งช่างเครื่องด้วย และยังรวมถึงอะไหล่ในการซ่อมบำรุง โดยการฝึกสอนจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยนักบิน และช่างเครื่อง จะเดินทางไปฝึกที่สหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันแบล็กฮอว์กถูกจัดซื้อเข้ามาประจำการรวมทั้งสิ้น 7 เครื่อง โดยมีแผนจะจัดซื้อให้ครบจำนวน 33 เครื่อง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 เครื่องเท่านั้น หลังจากประสบอุบัติเหตุตกที่เขตอุทยานแห่งชาติแก่นกระจาน เมื่อปี 2554 โดยเหลือแบล็กฮอว์กประจำการอยู่ที่ศูนย์การบินทหารบก 5 เครื่อง และประจำการที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อีก 1 เครื่อง
โครงการที่สอง โครงการจัดซื้อ เฮลิคอปเตอร์แบบลำเลียงทางธุรการ MI-17 V5 ที่กองทัพบกจัดซื้อจากประเทศรัสเซีย จำนวน 3 ลำ วงเงิน 990 ล้านบาท เมื่อปี 2555 โดยแบ่งเป็นค่าบำรุงรักษาภาคพื้น และหลักสูตรอบรมนักบินจำนวน 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MI-17 V5 เป็นการนำเงินงบประมาณที่ได้มาจากการยกเลิกการซ่อมเฮลิคอปเตอร์แบบฮิวอี้ จำนวน 15 ลำ วงงบประมาณ 999 ล้านบาท ทั้งนี้ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MI-17 V5 สามารถนำไปใช้ได้หลายภารกิจ ทั้งลำเลียงพลทั่วไป ขนส่งบุคคลหรือสิ่งของ งานธุรการโดดร่มสู่พื้นที่
เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MI-17 V5 มีตัวเครื่องที่ทนทานต่อกระสุนปืนเล็กจากพื้นดิน สามารถจัดที่นั่งให้ผู้โดยสารพร้อมสัมภาระได้ 24 นาย และบรรทุกผู้โดยสารได้สูงสุด 36 นาย โดยอนาคตจะมีการซื้อเพิ่มเติมเพื่อรองรับการลำเลียงพลอีกจำนวน 3 ลำ
โครงการที่สาม โครงการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง รุ่นบีทีอาร์ 3 อี 1 จากประเทศยูเครน โดยเฟสแรก จำนวน 110 คัน วงเงินงบประมาณ 3,800 ล้านบาท ขณะนี้ได้ทยอยส่งมอบแล้ว 97 คัน ส่วนที่เหลืออีก 13 คัน จะมีการส่งมอบภายในเดือนมกราคม 2556
รถเกราะล้อยางเฟสแรกได้บรรจุเข้าประจำการที่ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี หรือค่ายจักรพงษ์ ส่วนเฟสที่สอง กองทัพบกได้จัดซื้ออีก จำนวน 121 คัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4,800 ล้านบาท โดยจะมีการส่งมอบช่วงแรกในสิ้นเดือนธันวาคม 2555 จำนวน 30 คัน
ที่เหลือจะมีการแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ปี 2557 จะส่งมอบให้ 60 คัน และที่เหลืออีก 31 คัน จะส่งมอบภายในปี 2557 โดยทั้งหมดจะเข้าประจำการที่ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 จ.ชลบุรี โดยจะมีรถยานเกราะเข้าประจำการครบทุกกรม ตามแผนจัดโครงสร้างของ พล.ร.2 รอ.ให้เป็น “กองพลยานเกราะ”
โครงการที่สี่ โครงการจัดซื้อ รถถังรุ่น T-84 OPLOT หลังจากกระทรวงกลาโหมอนุมัติงบประมาณ 7,000 ล้านบาท ในการจัดซื้อรถถังรุ่นดังกล่าวจากประเทศยูเครน จำนวน 54 คัน โดยงบประมาณผูกพัน 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2555-57
รถถัง รุ่น T-84 OPLOT จะเข้ามาประจำการ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.2 รอ.) จ.ปราจีนบุรี จากเดิมที่จะนำไปประจำการที่ศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้จัดโครงสร้างกองทัพใหม่ จึงต้องการให้ไปประจำการที่ จ.ปราจีนบุรี เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บในพื้นที่ฝั่งตะวันออก
โครงการที่ 5 โครงการจัดซื้อ ปืนใหญ่ M 198 จำนวน 54 กระบอก วงเงิน 850 ล้านบาท จากสหรัฐอเมริกา โดยจะถูกแบ่งไปประจำการในค่ายทหาร จ.ปราจีนบุรี จ.ชลบุรี และจ.กาญจนบุรี เพื่อทดแทนปืนใหญ่ขนาดกลางกระสุนวิถีโค้ง M 114 A1ขนาด 155 มม. ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2503 ตามแผนพัฒนากองทัพบกในพื้นที่ภาคตะวันออกและตะวันตกให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2552 กองทัพบกไทยได้เดินทางไปที่สหรัฐอเมริกาเพื่อเลือกซื้อปืนใหญ่ M 198 ที่ถูกเก็บไว้ในคลัง โดยที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งาน ซึ่งการจัดซื้อใช้ระบบความช่วยเหลือทางทหาร Foreign Military Sale (FMS) โดยกองทัพบกสหรัฐอเมริกาได้ทำการปรับปรุงปืนใหญ่ M 198 เพื่อให้อยู่ในคุณภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งใช้วงเงินประมาณ 16-17 ล้านบาทต่อปืนใหญ่ 1 กระบอก
ทั้งหมดนั้น คือ การติดปีก-เสริมเขี้ยวเล็บของกองทัพบกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันถึงความจำเป็นในการใช้งาน และความโปร่งใสในการจัดซื้อ เพื่อทดแทนของเก่าที่ใช้งานมานานหลายสิบปี
ขอบคุณรายงานจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก www.komchadluek.net
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ