“เมื่อตอนเป็นหนุ่มบ้านผมยากจนมาก ผมเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นช่างเชื่อมไฟฟ้า ตอนแรกที่ทำงานก็ทำไม่เป็น เปิดเครื่องเชื่อมเหล็กแต่ละครั้งเศษเหล็กก็กระเด็นเข้าตา น้ำหูน้ำตาไหลเต็มไปหมด ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านตาแดงแล้วก็บวมมาก แต่วันถัดมาก็ต้องไปทำงานอยู่ดี เพราะเราไม่มีความรู้ เราถึงต้องยอมทำงานที่ยากลำบากเพื่อให้ได้เงิน” พ่อม้วน เสพสุข เกษตรกรตำบลเมืองแก อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ บอกเล่าถึงเส้นทางชีวิต
ก่อนที่จะหันมาทำเกษตรอินทรีย์บนวิถีพอเพียง จนกลายเป็นต้นแบบของการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ ให้กับภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจากหลากหลายพื้นที่ ที่เข้ามาร่วมอบรม เรื่องการจัดกระบวนการการพัฒนาสมรรถนะการเรียนรู้ เข้าใจ ปรับประยุกต์ใช้เครื่องมือเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนได้รับฟัง ซึ่งการอบรมในครั้งนี้นั้นจัดขึ้นโดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (สพช.) โดยใช้เทศบาลตำบลเมืองแก อ.ท่าตูม เป็นพื้นที่ต้นแบบให้กับภาคีเครือข่ายได้ศึกษาเรียนรู้
พ่อม้วนเล่าถึงจุดเปลี่ยนของความคิดตัวเอง ที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์ต่อว่า
“ผมทำงานที่โรงเชื่อมไฟฟ้ามาเกือบ 10 ปี ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แม่ก็อยู่คนเดียว พอได้เงินมาก็จะส่งมาให้แม่ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกลับมาที่บ้าน แม่หยิบผ้าโสร่งออกมาผืนหนึ่ง มันเป็นผ้าผืนที่สวยมาก และแม่พูดกับผมว่า แม่รอผมนานมากแล้ว เก็บผ้าโสร่งผืนนี้ไว้รอผมอยากให้ผมเอาไว้ใส่ ผมเห็นมือแม่ เห็นแววตาแม่ และเห็นผ้าโสร่งผืนนั้น ผมร้องไห้เลย และตั้งคำถามกับตัวเองทันทีว่า สิ่งที่ผมทำอยู่มันเดินมาถูกทางแล้วหรือเปล่า”
หลังจากที่พ่อม้วนในวัยหนุ่มขณะนั้นฉุกคิดได้ว่า การเป็นแรงงานในเมืองใหญ่ ไม่ใช่ความสุขแท้ที่จะตอบสนองเขาและครอบครัวได้ พ่อม้วนจึงกลับไปที่เมืองใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย และกัดฟันทำงานจนได้เงินเก็บมาหนึ่งก้อนแล้วกลับมาที่บ้าน พร้อมกับความฝันอันเต็มเปี่ยม ที่จะสร้างเส้นทางชีวิตของตนเองใหม่บนวิถีของเกษตรกรที่ปลูกพืชผักและข้าวแบบอินทรีย์ โดยพ่อม้วนจึงเริ่มทำการเกษตรอย่างจริงจัง เมื่อปี พ.ศ.2532 ท่ามกลางคำครหาของชาวบ้านในขณะนั้นว่าเป็นคนบ้า
“ตอนที่พ่อเพิ่มทำเกษตรอินทรีย์ใหม่ ๆ มีแต่คนหาว่าพ่อบ้า เพราะตอนนั้นเราเป็นคนเดียวเลยที่เริ่มทำ สมัยก่อนนั้นที่นาทั้งหมดชาวบ้านก็จะใช้ทำนาอย่างเดียว แต่พ่อขุดสระน้ำในที่นาด้วย คนก็มาถามว่า ทำไมที่นาน้อยแล้วยังขุดสระอีก พ่อก็ไม่ได้เถียงอะไร นอกจากนั้นแล้วในที่นาของพ่อไม่ได้ปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว แต่ได้จัดแบ่งไปปลูกพืชอื่น ๆ แซมกันด้วย สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญจริง ๆ ของพ่อ คงหนีไม่พ้นเรื่องของการทำงาน เพราะนาที่พอทำนั้น ไม่ใช้สารเคมีแม้แต่นิดเดียว ปุ๋ยพ่อก็ทำเอง ยาฆ่าแมลงพ่อก็ทำเอง พืชทุกอย่างในสวนของพ่อจึงปลอดสารพิษทุกอย่าง” เกษตรกรตำบลเมืองแก บอกเล่าถึงกระบวนการในการจัดการเกษตรอินทรีย์ในที่ดินของเขาให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม กว่าพ่อม้วนจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ก็ต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน มาก่อนที่จะประสบผลสำเร็จกับการทำเกษตรอินทรีย์ พ่อม้วนเล่าว่าในช่วงแรกที่เริ่มปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์นั้นผลผลิตไม่ได้งอกงามอย่างที่คิด ต่างจากนาของเพื่อนบ้านหลายแปลงที่เติบโตและงอกงามด้วยการใช้สารเคมี แต่พอนานวันเข้าดินของพ่อม้วนก็เริ่มปรับสภาพกับการเกษตรอินทรีย์ได้ผลผลิตของพ่อม้วนก็งอกงาม และได้เยอะกว่าเมื่อครั้งที่ใช้สารเคมี ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดพ่อม้วนบอกว่า รางวัลที่เขาและครอบครัวได้ คือร่างกายที่แข็งแรง ได้อยู่ในอากาศที่ดี ปลอดภัยจากสารเคมี และคนที่ซื้อผลผลิตของเขาไป ก็จะได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งคนทำและกินด้วย
เคล็ดวิชาที่พ่อม้วนสั่งสมประสบการณ์มาด้วยตนเอง ไม่ได้เก็บไว้เป็นความลับ หากแต่ถูกเผยแพร่และส่งต่อไปยังผู้คนที่สนใจในวิถีของเกษตรอินทรีย์ของเขา
พี่ควร หรือวานทิพย์ บุญมี ชาวบ้านที่ตำบลเมืองแก อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เป็นเกษตรอินทรีย์ที่ตั้งไข่มาจากวิชาของพ่อม้วน เล่าว่า ตอนแรกทำงานที่โรงงานเย็บผ้า ทำมาเกือบ 10 ปี แต่พี่ก็รู้สึกเหมือนชีวิตของพี่มันยังขาดอะไรอยู่ ทำงานเป็นลูกน้องเขามันก็ไม่รวย ซ้ำร้ายยังไม่ได้อยู่กับครอบครัวด้วย จึงตัดสินใจกลับมาทำนาที่บ้าน ตอนแรกที่ทำนาก็หมดเงินเยอะมาก ทั้งค่าปุ๋ยค่ายาฆ่าแมลงสารเคมี ผลผลิตก็ได้นิดเดียว
แต่พอได้ทราบข่าวการทำนาแบบอินทรีย์ของพ่อม้วน จึงสมัครเป็นลูกศิษย์ และใช้วิธีทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ทำน้ำหมักชีวภาพจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องที่ใช้เอง เช่น น้ำหมักจากไส้กล้วย หมักจากปลาสด และกากน้ำตาล ของที่เหลือ ๆ ในบ้าน พ่อม้วนบอกว่าเป็นวัตถุดิบในการทำปุ๋ยทำน้ำหมักได้หมด ทำให้ต้นทุนในการทำนาลดลง ผลผลิตก็ได้มากขึ้น ร่างกายก็ไม่ต้องเสี่ยงกับสารเคมีด้วย มันเป็นกระบวนการง่าย ๆ ที่เกษตรกรที่ไหนก็ทำได้หากตั้งใจจริง เพราะดีทั้งต่อสุขภาพของตัวเอง และของคนที่กินข้าวที่เราปลูกด้วย
ทั้งนี้นอกจากพื้นที่ตำบลเมืองแก จะมีปราชญ์ชาวบ้านที่มีความคิดก้าวหน้าอย่างพ่อม้วนแล้ว พ่อขัน อุดหนุน ก็เป็นปราชญ์ชาวบ้านอีกคนหนึ่งที่เปลี่ยนที่นาของตนเอง จากการใช้สารเคมีมาเป็นแปลงนาที่ปลอดจากสารเคมีด้วยเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแปลงนาของพ่อขันก็กลายเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์อีกแห่งหนึ่งในตำบลเมืองแกด้วยเช่นกัน สิ่งที่พ่อขันพยายามบอกกับเพื่อนสมาชิกทุกคนที่เข้ามาเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์กับเขาคือ
“การทำการเกษตรอินทรีย์ ไม่ได้เกื้อกูลกับตนเองเพียงอย่างเดียว หากแต่เกื้อกูลกับสัตว์น้อยใหญ่ที่เป็นห่วงโซ่อาหารหลักให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็นไส้เดือน กบ เขียด เพราะถ้าสัตว์เหล่านี้ปลอดภัยจากสารเคมีก็จะไปช่วยผลักให้ระบบของห่วงโซ่อาหารของพวกเรา ขยายออกไปไม่มีวันหมด และเป็นห่วงโซ่อาหารที่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตด้วย” พ่อขันกล่าว
ปัจจุบันนี้กลุ่มเกษตรอินทรีย์ของพ่อม้วนและพ่อขัน กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ของตำบลเมืองแก 19 หมู่บ้าน พร้อมทั้งเป็นเป็นหนึ่งในแผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์เป้าหมาย เพื่อพัฒนาชุมชนของคนตำบลเมืองแก ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปลอดภัยจากสารเคมี ซึ่งเป็นระบบการจัดการสุขภาพชุมชนที่ ถูกจัดตั้งขึ้นโดยเทศบาลเมืองแก โดยกลุ่มเกษตรอินทรีย์ของพ่อม้วน มีสมาชิกเพิ่มขึ้นในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก และผลผลิตของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่นี่ ยังส่งขายต่อไปยังประเทศในแถบยุโรป อีกหลากหลายประเทศ แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ สมาชิกของกลุ่มที่นี่ แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ สังเกตได้ชัดเจนจากรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของสมาชิกทุกคน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ