นักวิชาการจี้ถามนายกฯ หรือไทยจะรับทริปพลัส

ชุลีพร บุตรโคตร ศูนย์ข่าว TCIJ 4 ธ.ค. 2555 | อ่านแล้ว 598 ครั้ง

 

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม นักวิชาการในสาขาเภสัชศาสตร์ การแพทย์ การสาธารณสุข การพัฒนาสังคม การคุ้มครองผู้บริโภค และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จำนวน 94 ราย ซึ่งเคยทำหนังสือคัดค้านข้อสรุปของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ต่อการทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2555 ถึงท่าทีของนายกฯ และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ที่ระบุให้ไทยควรมีท่าทียืดหยุ่นในการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป หมายรวมถึงการที่ประเทศไทย จะต้องยอมรับข้อผูกพันที่เข้มงวด เกินกว่ามาตรฐานด้านทรัพย์สินทางปัญญาสากลขององค์การการค้าโลก หรือข้อตกลงทริปส์ ที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 150 ประเทศเป็นสมาชิก

 

ข้อผูกพันที่เกินไปกว่าข้อตกลงทริปส์นี้ ถูกเรียกว่าข้อผูกพันแบบ “ทริปส์ พลัส (TRIPS plus)” เพราะในร่างข้อตกลงเอฟทีเอของสหภาพยุโรป ได้บังคับให้คู่เจรจา ต้องมีการผูกขาดข้อมูลยา (Data Exclusivity) เพิ่มเติม 5 ปี   และจากการที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ พยายามปฏิเสธว่า ข้อผูกพันดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อราคายาในปัจจุบัน และการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาที่จะทำให้ยาสามัญ (Generic drugs) ที่เป็นคู่แข่งวางตลาดได้ช้าลง แต่ไม่เกิน 5 ปีนั้น มีผลกระทบต่อการเข้าถึงยาเพียงเล็กน้อย การสรุปเช่นนั้นเป็นคำกล่าวอ้างที่บิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การใช้คำที่ปรับเปลี่ยนจากการผูกขาดข้อมูลเป็นการคุ้มครองข้อมูลยา แต่ความหมายก็เป็นการผูกขาด และไม่อยู่บนพื้นฐานองค์ความรู้และหลักวิชาการแม้แต่น้อย

 

นอกจากนี้ท่าทีดังกล่าวของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นการชี้นำและให้ข้อมูลที่ที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้กำหนดนโยบายระดับสูง โดยเฉพาะกับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายสำคัญในการเพิ่มการเข้าถึงยาและลดความเหลื่อมล้ำ ในระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

 

ผศ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี กล่าวว่า ข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวนี้ ล้วนมีความกังวลใจในท่าทีของรัฐบาล บทเรียนในปี พ.ศ.2535 ที่เราทนต่อแรงกดดันของสหรัฐอเมริกาไม่ไหว จึงยอมแก้กฎหมายสิทธิบัตรให้ความคุ้มครองไปถึงผลิตภัณฑ์ยา ขยายอายุสิทธิบัตรออกไปจาก 15 ปี เป็น 20 ปี ซึ่งนับเป็นการคุ้มครองเข้มงวดแบบล้ำหน้ากฎองค์การการค้าโลกออกไปกว่า 10 ปี ก่อนจะมีผลใช้บังคับตามข้อตกลงขององค์การค้าโลก ส่งผลให้อุตสาหกรรมยาในประเทศถูกแช่แข็งมาถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำ พวกเรานักวิชาการจึงขอโอกาสในการให้ข้อมูลและปรึกษาหารือกับนายกรัฐมนตรี ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป

 

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเร่งผลักดันการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป นับตั้งแต่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ รวมทั้ง น.พ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ก็มิได้ตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรง ที่จะเกิดกับระบบสุขภาพ การสาธารณสุข และสังคมไทยอย่างกว้างขวาง และยังเดินหน้าดำเนินการโดยไม่สนใจความคิดเห็นของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวแต่อย่างใด สะท้อนจากการประชุมเพื่อรับฟังความเห็นที่จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ในที่ประชุมดังกล่าว ทั้งภาควิชาการ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคเอกชนในอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศ มีท่าทีที่ชัดเจนที่จะไม่รับข้อเรียกร้องที่เกินไปกว่า TRIPS แต่ความเห็นดังกล่าวไม่ถูกใส่ใจจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

 

เป็นที่น่าสังเกตว่ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้นำร่างกรอบเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มาทำความเข้าใจกับสาธารณะและรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อที่ทุกฝ่ายได้ช่วยกันตรวจสอบว่า กรอบเจรจาดังกล่าวเข้มแข็งและรัดกุมเพียงพอที่จะเป็นหลัก และแรงสนับสนุนให้กับคณะผู้เจรจา ในอันที่จะป้องกันผลกระทบร้ายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และเป็นการเจรจาที่มองอย่างรวบด้านทั้งประโยชน์ด้านการค้าและด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะสุขภาพ แม้จะมีการเรียกร้องจากนักวิชาการด้านสุขภาพให้เปิดเผยข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: