หนีม็อบไทยไปดูม็อบฝรั่ง

26 พ.ย. 2555 | อ่านแล้ว 2849 ครั้ง


                 ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ (Anti-Globalization Movement) เป็นทัศนคติทางการเมืองอย่างหนึ่ง ของผู้ที่มีมุมมองด้านลบต่อกระแสโลกาภิวัตน์ เป็นความพยายามในระดับรากหญ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นปัญญาชนจำนวนหนึ่ง การเกิดขึ้นของขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ เป็นเหตุมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ "Neo-Liberalism" ที่เริ่มกำเนิดขึ้นนับตั้งแต่การสิ้นสุดลงไปของระบอบคอมมิวนิสต์ในช่วงคริสตทศวรรษ 1990 และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพของเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมชัดเจนมากขึ้น เป็นผลมาจาก "ฉันทามติวอชิงตัน" (Washington Consensus)

                สำหรับฉันทามติวอชิงตัน มีผลในทางนโยบายต่อผู้นำ/ผู้บริหารทั่วโลกไม่น้อยกว่า 10 เรื่องด้วยกัน ดังที่ยอมรับร่วมกันว่าเป็น "วาระแห่งเสรีนิยมใหม่" (Neo-Liberal Agenda) ซึ่งมีผลต่อเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็น วินัยทางการคลัง (Fiscal discipline), การให้ความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องรายจ่ายสาธารณะ (Public expenditure priority), การปฏิรูประบบภาษี (Tax reform), การเปิดเสรีทางการเงิน (Financial liberalization), อัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่คงที่ (Competitive exchange rate), การเปิดเสรีทางการค้า (Trade liberalization), การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign direct investment), การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization), การยกเลิกการควบคุมราคา (Deregulation) และสิทธิในที่ดิน (Property rights)

                ผลจากนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่นี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เมื่อปรากฏว่าระบบ เสรีนิยม/ทุนนิยม เป็นระบบที่ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างผู้ที่มีทุนมากกว่า กับ ผู้ที่มีน้อยกว่า/ผู้ที่ไม่มีทุนเลย ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมาอย่างมากไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน, ความเหลื่อมล้ำทางสังคม, ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

 

การเคลื่อนไหวของขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์

ตัวอย่างเหตุการณ์การเคลื่อนไหวของขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่มีความสำคัญ และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป  ระหว่างปี ค.ศ. 1999 ถึง ปี ค.ศ. 2003

 

- J18

                การระดมการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ครั้งแรกของขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1999 โดยกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านโลกาภิวัตน์ ได้มีการรวมตัวกันใน 12 เมืองใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และที่ยูจีน มลรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งย่านการเงินตกเป็นเป้าหมายการโจมตี ผู้ประท้วงที่โอเรกอนได้ก่อให้เกิดการจราจลขนาดย่อมๆ โดยการขับไล่ตำรวจออกไปจากสวนสาธารณะโดยพวกอนาคิสต์ ซึ่งหนึ่งในแกนนำของพวกอนาคิสต์ Robert Thaxton ได้ถูกจับกุมตัวจากการทำร้ายร่างการเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกคุมขังเรื่อยมา ตามตัวเลขทางการมีคน 2 พันคนเดินขบวน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 42 คน ทรัพย์สินเสียหายราว 1 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง  กลุ่ม J18 ยังรวมทั้งพลังคนและเทคโนโลยีในการต่อสู้ มีการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของสถาบันการเงิน ในช่วง 5 ชั่วโมง บรรษัทข้ามชาติใหญ่ 20 แห่งถูกโจมตีด้วยกลุ่มแฮกเกอร์มากกว่า 1 หมื่นครั้ง

 

- Seattle/N30

                การระดมพลการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ครั้งที่สองของขบวนการเคลื่อนไหว เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "N30" ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1999 โดยผู้ประท้วงได้ทำการขัดขวางการประชุมผู้แทนองค์การการค้าโลก หรือ WTO ที่จัดขึ้นที่เมื่องซีแอทเทิล สหรัฐอเมริกา การประท้วงครั้งนี้ ได้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยมีระยะเวลาการประท้วงไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ.1999

                ในการประท้วงข้างต้น ตำรวจปราบจราจลเมืองซีแอทเทิลร่วมกับกองกำลังป้องกันแห่งชาติ ได้โจมตีผู้ประท้วงด้วยอาวุธหลายอย่าง เช่น การใช้สเปรย์พริกไทย, แก๊สน้ำตา, กระสุนยาง เป็นต้น และได้มีผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมมากกว่า 600 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ผู้เข้าร่วมส่วนหนึ่งมาจากสหภาพแรงงานที่ต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งละเมิดสิทธิคนงานและกดค่าจ้างแรงงาน ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติที่ชี้ว่าบรรษัทข้ามชาติและสถาบันการเงินโลก เช่นธนาคารโลก ขาดความรับผิดชอบและเป็นตัวการในการทำลายสภาวะสิ่งแวดล้อมโลก ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน เป็นกลุ่มต่อต้านลัทธิผู้บริโภคและการเอาเปรียบ บ้างเป็นนักวิชาการผู้ห่วงใย เกือบทั้งหมดของผู้ประท้วงเป็นพลเมืองในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ก็มีนักเคลื่อนไหวจากประเทศกำลังพัฒนาเข้าร่วมด้วย

                นอกจากนี้ในการประท้วงยังก่อให้เกิดความเสียหายอื่นๆอีกเช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก, ร้านค้าที่เป็นร้านสาขาขนาดใหญ่ ก็ตกเป็นเป้าโจมตีและทำลาย เช่น ร้านไนกี้, สตาร์บัคส์ เป็นต้น ด้วยความรุนแรงของเหตุการณ์ประท้วงนายกเทศมนตรีเมืองจึงได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นการชั่วคราว

                ในปี ค.ศ. 2002 เมืองซีแอทเทิลต้องจ่ายเงินไปมากกว่า 200,000 เหรียญให้กับการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับ การดำเนินงานของตำรวจเมืองซีแอทเทิล ที่ทำการจับกุมอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม ซึ่งคดีก็ยังค้างคาอยู่จนทุกวันนี้ เนื่องจากจำนวนผู้ประท้วงที่ซีแอทเทิล มีมากอย่างน่าประหลาดใจ ดังนั้น ในเวลาต่อมาหลังจากการประท้วงครั้งนั้น หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก ก็ได้เริ่มมีท่าทีตอบโต้การประท้วงในการเตรียมการป้องกันความยุ่งยาก

                จากการประท้วงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น และมีจำนวนผู้ประท้วงมากขึ้น โดยวิธีการแทรกซึมเข้าไปยังกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเข้าไปกำหนด/ชี้นำแผนการ/การเตรียมการของกลุ่ม เพื่อเป็นการขจัดผู้ประท้วงให้หมดไป

 

- Genoa

                การประท้วงที่เจนัว จัดได้ว่าเป็นการประท้วงที่มีการนองเลือดมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของยุโรป เป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ประท้วงเสียชีวิตไปอย่างน้อย 3 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกโจมตีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนับร้อยราย

                การประท้วงที่เจนัวเป็นการประท้วงการประชุมของกลุ่มประเทศ G8 ช่วงระหว่างวันที่ 18-22 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2001 ที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างมากนอกจากจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าวแล้ว ยังมีผู้ถูกจับกุมภายใต้การบังคับใช้กฎหมายต่อต้านมาเฟีย และกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายของอิตาลี อันมีผลให้มีผู้ถูกจับกุมเป็นจำนวนนับร้อยรายการเคลื่อนไหวอื่นๆ

 

- Barcelona, Spain

                ผู้คนส่วนใหญ่ เชื่อว่าการระดมการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ โดยส่วนใหญ่ มักจะเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะประเทศเหล่านี้ มีธรรมเนียมด้านเสรีภาพในการพูดที่เข้มแข็ง มีการยับยั้งควบคุมโดยตำรวจอย่างเหมาะสม มีการคุ้มครองสิทธิของชุมชน และยึดหลักการปกครองโดยใช้หลักกฎหมาย ตัวอย่างการเคลื่อนไหวหนึ่งจากประเทศเหล่านี้ ได้แก่ การเคลื่อนไหวที่เมือง บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน โดยมีวัตถุประสงค์ของการประท้วง เพื่อเรียกร้อง และแสดงให้เห็นว่าการปกครองตนเองของผู้ประท้วง ดีกว่าการถูกควบคุมโดยการใช้กำลังรุนแรง

                การประท้วงที่บาร์เซโลน่าในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ปี ค.ศ. 2002 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 250,000 คน แต่การประท้วงครั้งดังกล่าว ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บแก่บุคคลแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การประท้วงก็ได้ก่อให้เกิดการเสียหายต่อทรัพย์สินสาธารณะและทรัพย์สินของเอกชนอยู่บ้าง

 

- Argentina

                การประท้วงในอาร์เจนตินา เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีที่อาร์เจนตินาต้องประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยมีผู้เข้าร่วมประท้วงรัฐบาลกลางอาร์เจนตินานับล้านคน ในวันที่ 19, 20 ธันวาคม 2002 กลุ่มผู้ประท้วงในเมืองหลวง บูเอโนส ไอเรส ได้ใช้ความรุนแรงเพื่อพยายามขับไล่ประธานาธิบดี De la Rua ประธานาธิบดีในขณะนั้น จนเป็นเหตุให้มีผู้ประท้วง 32 รายต้องเสียชีวิลลง

                นับจากเหตุการณ์นั้น พลเมืองอาร์เจนตินาได้เริ่มมีความพยายามที่จะพัฒนา "ทางเลือก" ของระบบเศรษฐกิจที่มีรากฐานจากชุมชนภายในประเทศ, มีโครงสร้างทางสังคมและระบบชุมชนท้องถิ่น ที่มีอิสระในการปกครองตนเองได้ ดังสโลแกนที่เป็นที่รู้จักกันดีที่ว่า "Everybody out (of government)! Nobody stays!" ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า ประชากรชาวอาร์เจนตินา ไม่เพียงแต่เอือมระอากับการทุจริต คอร์รัปชั่นในรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเอือมระอาและสิ้นศรัทธาต่อโครงสร้างทางการปกครองทั้งหมดทุกภาคส่วนด้วย

 

สรุปเหตุการณ์การเคลื่อนไหวที่สำคัญของขบวนการนับจากปี ค.ศ. 1999 ถึงปี ค.ศ. 2003

 

1999

- 30 พฤศจิกายน -ซีแอทเทิล, สหรัฐอเมริกา การประท้วงการประชุม WTO ระดับรัฐมนตรีครั้งที่สาม

 

2000

- 16 เมษายน -วอชิงตัน ดีซี, สหรัฐอเมริกา การประท้วง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

- 1 พฤษภาคม -ทั่วโลก, การประท้วงในวันแรงงาน

- 29 กรกฎาคม -ฟิลาเดลเฟีย, สหรัฐอเมริกา การประชุมแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน

- 11 สิงหาคม -ลอสแอนเจลีส, สหรัฐอเมริกา การประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครต

- 11 กันยายน -เมลเบิน, ออสเตรเลีย การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก

- 26 กันยายน -ปราก, สาธารณรัฐเช็ก ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ

- 20 พฤศจิกายน -มอนทรีอัล, ควีเบ็ก การประชุม G20

 

2001

- 20 มกราคม -วอชิงตัน ดีซี, สหรัฐอเมริกา การเข้ารับตำแหน่งของบุช

- 27 มกราคม -ดาวอส, สวิตเซอร์แลนด์ การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก

- 20 เมษายน -ควีเบ็ก ซิตี, แคนาดา การประชุมสุดยอดแห่งอเมริกา

- 15 มิถุนายน -โกเทนเบอร์ก, สวีเดน การประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป

- 20 กรกฎาคม -เจนัว, อิตาลี การประชุม G8

- 29 กันยายน -วอชิงตัน ดีซี, สหรัฐอเมริกา การประท้วงของกลุ่มผู้ต่อต้านระบบทุนนิยม, ผู้ต่อต้านสงคราม

 

2002

- 1 กุมภาพันธ์ -นิวยอร์ก ซิตี, สหรัฐอเมริกา/ปอร์โต อัลเลเกร, บราซิล เวทีสมัชชาสังคมโลก ที่จัดขึ้นอย่างคู่ขนานกับเวทีเศรษฐกิจโลก

- 15 มีนาคม -บาร์เซโลนา, สเปน การประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป

- 20 เมษายน -วอชิงตัน ดีซี, สหรัฐอเมริกา ประท้วงต่อต้านสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

- 26 มิถุนายน -แคลการี, แอลเบอตา และ ออตตาวา, ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา การประชุม G8

- 27 กันยายน -วอชิงตันดีซี, สหรัฐอเมริกา การประท้วงไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก

 

2003

- สุดสัปดาห์ของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ -ทั่วโลกมีการประท้วงต่อต้านการทำสงครามกับอิรัก มีผู้เข้าร่วมประท้วงมากกว่า 12 ล้านคน

- มีนาคม, เมษายน -ประท้วงต่อต้านการทำสงครามกับอิรัก ทั่วโลก

- 28 กรกฎาคม -มอนทรีอัล, ควีเบ็ก

- 14 กันยายน -แคนคูน, เม็กซิโก การประชุมระดับรัฐมนตรี WTO ครั้งที่ 5 ต้องสิ้นสุดลง

- ตุลาคม -การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก ในระดับภูมิภาค ที่กรุงดับลิน ในการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับศักยภาพในการแข่งขันของทวีปยุโรป ต้องถูกยกเลิกไป

- 20 พฤศจิกายน -ไมอามี, การระดมพลต่อต้านเขตการค้าเสรีแห่งอเมริกา (FTAA)

 

                นอกจากการเคลื่อนไหวของขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆดังที่สรุปมานี้ ยังมีการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์อีกจำนวนมาก ที่มีความแตกต่างกันไปทั้งในเรื่องของประเด็นเรียกร้อง เป้าหมาย วิธีการ และขนาดของขบวนการ

 

World Social Forum; WSF

                การเคลื่อนไหวหนึ่งที่เริ่มเป็นที่รู้จัก และเป็นที่รับรู้กันในสังคมมากขึ้นเกี่ยวกับการต่อสู้เรียกร้องเพื่อต่อต้านกับกระแสโลกาภิวัตน์นั่นก็คือ "เวทีสมัชชาสังคมโลก" (World Social Forum; WSF) ที่จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วนั่นเอง

                WSF ถือกำเนิดขึ้นอันเนื่องมาจาก การรวมตัวกันของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหลายๆฝ่าย ที่ได้รับความเดือดร้อน/ได้รับผลกระทบจาก กระแสโลกาภิวัตน์/ทุนนิยมเสรี/เสรีนิยมใหม่ร่วมกัน ทั้งนี้เพราะโลกาภิวัตน์/เสรีนิยมใหม่ ได้ก่อให้เกิดปัญหาในประเทศโลกที่สาม/ประเทศโลกใต้ ที่มีลักษณะร่วมกันทั่วโลก คือต้องเผชิญกับอำนาจรวมศูนย์ที่เข้มแข็งของรัฐ และทุนจากบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่เข้าไปกอบโกยทรัพยากร/ผลประโยชน์จากประเทศเหล่านั้น

 

                ทั้งนี้ต้นเหตุมาจากนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม/ทุนนิยม ที่พยายามสร้างให้ระบบเศรษฐกิจเสรี การค้า การลงทุน ที่เสรี ภายใต้การช่วยเหลือ/เอื้อประโยชน์ประเทศโลกที่หนึ่ง จากองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น WTO, IMF, WORLD BANK, ADB เป็นต้น

                ดังนั้น ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน/ได้รับผลกระทบจาก กระแสโลกาภิวัตน์/ทุนนิยมเสรี/เสรีนิยมใหม่ จึงได้มีการพยายามแสวงหาหนทางร่วมกันเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้าน โลกาภิวัตน์เสรีนิยมใหม่ ในการสร้างเวทีสมัชชาสังคมโลกขึ้นมา เพื่อร่วมกันต้านโลกาภิวัตน์กระแสหลัก และเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่แค่การประท้วงเท่านั้น แต่ WSF จะเป็นที่เปิดซึ่งหลายๆฝ่ายได้ร่วมกันคิดถึงการสร้าง โลกอีกใบ (Another World) ที่เอื้อประโยชน์ต่อคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันได้อีกด้วย

                WSF ใน 3 ครั้งแรก ได้จัดขึ้นที่เมืองปอร์โต อัลเลเกร (Porto Alegre) เมืองหลวงของรัฐ ริโอ แกรนเด โด ซูล (Rio Grande do Sul) ในปี ค.ศ. 2001-2003 ที่ผ่านมา ขณะที่ WSF ครั้งล่าสุด จัดขึ้นที่เมืองมุมไบ (Mumbai) ประเทศอินเดีย

                WSF ได้รับความสนใจจากกลุ่มเคลื่อนไหว/ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจากทั่วโลกมากขึ้นทุกปี จากปีแรกที่มีผู้เข้าร่วมประมาณ 30,000 คน ขณะที่ในครั้งล่าสุดที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมมากถึงกว่าหนึ่งแสนคน และกิจกรรมของ WSF ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นจากครั้งแรกที่มีลักษณะของการชูประเด็นเพื่อต่อต้านโลกาภิวัตน์เป็นหลัก มากกว่าที่จะมีการสำรวจแนวทาง หรือค้นหา โลกาภิวัตน์ทางเลือกอย่างเป็นรูปธรรม

                ดังนั้น WSF ครั้งที่สอง จึงมีกิจกรรมที่ครอบคลุมการออกแบบยุทธศาสตร์ต่อต้านโลกาภิวัตน์ และนอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนกันในรายละเอียดของกระบวนทัศน์ทางเลือกด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ, นิเวศวิทยา, และสังคมด้วย

                จนกระทั่ง WSF ครั้งล่าสุดที่อินเดีย เป็นการขยายขบวนการสากลจากส่วนอื่นๆของโลกทั้งละตินอเมริกา และยุโรป มาสู่เอเชีย ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในเอเชียจะได้มีความสมานฉันท์ร่วมกัน

                WSF ได้ก่อให้เกิดการขยายตัวขึ้นอย่างมากของเวทีสังคม/สมัชชาต่างๆ (Social Forum) ในภูมิภาคต่างๆทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นเวทีสังคมของทวีปยุโรป, เอเชีย, Pan-Amazon และเวทีสังคมในระดับประเทศต่างๆ เช่น อาร์เจนตินา, ปาเลสไตน์, อุรุกวัย, โคลัมเบีย, แคนาดา, โปรตุเกส, สวิตเซอร์แลนด์, เวเนซุเอลา เป็นต้น

                การขยายตัวของเวทีสังคมดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงกระแสการต่อต้านคัดค้านโลกาภิวัตน์กระแสหลัก เพื่อแสวงหาหนทางใหม่ๆ เช่น การแสวงหาโลกาภิวัตน์ทางเลือก ระบบเศรษฐกิจ/การปกครองที่เป็นธรรมกับคนทุกคนในสังคม

 

อุดมการณ์และเหตุผลของขบวนการเคลื่อนไหว            

                เนื่องจากขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ มีลักษณะของความแตกต่างหลากหลายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของแรงงาน, ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม, ความปลอดภัยทางโภชนาการ, พันธุวิศวกรรม ฯลฯ

                ดังนั้น ในด้านอุดมการณ์และเหตุผลในการเคลื่อนไหวของขบวนการ จึงย่อมมีความแตกต่างหลากหลายออกไปเป็นธรรมดา เหตุผลและอุดมการณ์ของแต่ละขบวนการ บางครั้งก็อาจจะเกื้อกูล และส่งเสริมต่อกัน แต่ในบางครั้งก็อาจจะขัดแย้งกันเองก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าแต่ละขบวนการ จะมีความแตกต่างทางอุดมการณ์อย่างสุดขั้วแต่อย่างใด ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ อาจกล่าวได้ว่ามี อุดมการณ์และเหตุผลร่วมกันอยู่บางประการต่อไปนี้

                ประการแรก การทำให้ท้องถิ่น ชุมชน ได้มีโอกาสในการตัดสินใจด้วยตนเอง การมีอำนาจอธิปไตยของท้องถิ่น/ชุมชน นับเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การปกป้อง คุ้มครองในประเด็นปัญหาอื่นๆของท้องถิ่นได้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมชุมชน, การคุ้มครองระบบนิเวศวิทยาของท้องถิ่น เป็นต้น

                ประการที่สอง เนื่องจากการค้าเสรีที่เป็นหนึ่งในกระแสโลกาภิวัตน์ ได้สร้างความเสื่อมให้กับทรัพยากรธรรมชาติในประเทศยากจนเป็นอันมาก เนื่องจากการเข้ามากอบโกยทรัพยากร โดยการย้านฐานการผลิตมายังประเทศด้อยพัฒนาโดยบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (Multi/Trans National Corporation) ดังนั้น อุดมการณ์ร่วมที่เกิดขึ้นจึงได้แก่ การแก้ไขปัญหาการกอบโกยทรัพยากรดังกล่าว เช่น สโลแกนของผู้ประท้วงที่ว่า "People and planet before profits", "The Earth is not for sale" เป็นต้น

                แต่ทั้งนี้เนื่องจากขบวนการเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นขบวนการเคลื่อนไหวสากล ที่มีความแตกต่างหลากหลายทั้งในด้านอุดมการณ์ และจุดมุ่งหมายเฉพาะ ดังนั้นแม้ว่าจะมีค่านิยม หรือจุดมุ่งหมายร่วมกันอยู่บ้างดังกล่าว ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงของความแตกต่างหลากหลาย ดังที่ Marcos ได้ให้ความเห็นว่า "เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องสร้างโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นโลกที่มีที่ทางสำหรับโลกทุกใบ และเป็นโลกที่สามารถรวมเอาความแตกต่างจากโลกทุกใบมาไว้ร่วมกันได้"

 

 

การจัดองค์กร/การรวบรวมสมาชิก (Organization)

                แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะได้มีการมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการสร้างทางเลือกจากระดับรากหญ้า (Grassroots alternatives) ที่มีต่อกระแสโลกาภิวัตน์ แต่ขบวนการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ และที่สามารถสังเกตเห็นได้ส่วนมาก ยังคงมีลักษณะของการรวบรวมสมาชิกในลักษณะกระจายในวงกว้าง ผ่านการรณรงค์โดยตรง และการไม่เชื่อฟังรัฐของชุมชน แนวการปฏิบัติเช่นนี้ภายใต้ชื่อ People's Global Action Network บางครั้งก็มีความพยายามที่จะผูกรวมเหตุผลอันแตกต่างหลากหลาย ของขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือ เป็นการต่อสู้เพื่อโลกใบนี้ (Global Struggle) และการเปิดเผย/แสดงออกอย่างชัดเจนในเรื่องสาเหตุ/เป้าหมายของขบวนการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยก่อให้เกิดสำนึกของความเป็นปึกแผ่น (Sense of solidarity) และยังจะเป็นการวางรากฐานสำหรับกระบวนการสร้างความสมานฉันท์ (Consensus process) อันเป็นพื้นฐานของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Basis of unity) อีกด้วย

            ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์นี้ อาจขาดรูปแบบการจัดองค์กรแบบเป็นทางการร่วมกัน แต่ก็ประสบความสำเร็จใน การจัดการ/การจัดองค์กร ในการประท้วงขนาดใหญ่ได้ ทั้งนี้โดยอาศัย "เทคโนโลยีสารสนเทศ" (Information technology) ที่ทันสมัยในการช่วยแพร่กระจายข้อมูล ข่าวสาร และการรวบรวม/จัดระเบียบให้กับขบวนการเคลื่อนไหว

                ผู้ประท้วง ได้จัดรวบรวม/จัดองค์กรของพวกเขาเองในลักษณะของการเป็น "กลุ่มที่ผูกพันใกล้ชิดกัน" (Affinity groups) ที่โดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีลักษณะของสายการบังคับบัญชาแต่อย่างใด (Non-Hierarchy) และเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และมีเป้าหมาย หรืออุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน

                กลุ่มที่ผูกพันใกล้ชิดกันดังกล่าว จะมีการตั้งตัวแทนของกลุ่มในการร่างแผนการเพื่อพบปะ/ประชุมกัน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่ากลุ่มในลักษณะนี้ มีลักษณะของการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ง่ายๆ จึงเป็นการง่ายที่จะถูกแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มโดยเจ้าหน้าที่ของภาครัฐได้ ดังนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วแผนการที่สำคัญๆ มักจะไม่ค่อยบังเกิดขึ้นจนกว่าจะถึงนาทีสุดท้ายที่จะเริ่มประท้วงแล้วนั่นเอง

                กลยุทธ์ที่เป็นที่นิยมใช้ร่วมกันอันหนึ่งก็คือ การแบ่งกลุ่มผู้ประท้วงออกเป็นส่วนๆ โดยตั้งอยู่บนฐานคติของการตั้งใจที่จะละเมิด/ยับยั้งกฎหมาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นการลดความเสี่ยงจากทั้งทางกายภาพ และอันตรายจากอำนาจบังคับตามกฎหมายที่ต้องเผชิญหน้า

 

 

ข้อวิพากษ์/วิจารณ์ที่มีต่อขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์

                ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ มิได้เป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุน หรือได้รับการยอมรับจากผู้คนทุกคนในสังคม เพราะฉะนั้น ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดมีข้อวิพากษ์/วิจารณ์เกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์อย่างแน่นอน

                ประการแรก ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากกลุ่มนักการเมือง, กลุ่มนักวิชาการฝ่ายขวา, กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก และกลุ่มผู้สนับสนุนนโยบายการค้าเสรี ซึ่งจะสังเกตได้ว่ากลุ่มต่างๆเหล่านี้ จะเป็นกลุ่มที่มองว่าโลกาภิวัตน์เป็นประโยชน์ และมีผลดีมากกว่าผลเสีย

                ประการที่สอง ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่ม โลกาภิวัตน์ประชาธิปไตย (Democratic globalization) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนโลกาภิวัตน์อย่างสุดขั้ว (Pro-globalization) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการให้ทุกๆกิจกรรมของมนุษยชาติ และสถาบันระดับโลก ได้รับเอาอุดมการณ์เสรีประธิปไตยเข้าไปใช้อย่างเต็มที่

                ประการที่สาม ข้อวิพากษ์วิจารณ์หลักพื้นฐานที่สุด ซึ่งขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้าน โลกาภิวัตน์ได้ประสบนั่นก็คือ ข้อวิจารณ์ที่ว่าขบวนการเคลื่อนไหวนี้ขาดเป้าหมายที่ชัดเจน และมุมมองของผู้เข้าร่วมระท้วง ก็มีความแตกต่างหลากหลายมากจนบางครั้งก็อาจจะขัดแย้งกันเองได้

                ประการที่สี่ ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่สำคัญประการหนึ่ง ก็คือ ข้อวิจารณ์ที่ว่าขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ สามารถทำการประท้วงได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสิทธิมนุษยชน, ต่อต้านการค้าเสรี, ต่อต้านการตัดแต่งพันธุกรรมพืช เป็นต้น แต่ว่าขบวนการเคลื่อนไหวดังกล่าว กลับไม่ได้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรมให้แต่อย่างใด

                ประการที่ห้า ในเรื่องของแรงจูงใจในการระดมผู้เข้าร่วมประท้วง ก็ยังคงเป็นคำถามอยู่ สำหรับบางกลุ่ม เชื่อมั่นว่ากุญแจสำคัญในการระดมคือ ตรอทสกี้ยิสต์ (Trotskyite) ที่มองว่าสามารถใช้ใครก็ได้ที่เป็นผู้คับข้อง/ขัดเคืองใจ (Grievances) ในการกระตุ้นและก่อให้เกิดการปฏิวัติโดยใช้ความรุนแรงเป็นหลัก

                ขณะที่ผู้ที่เห็นตรงข้ามกันกลับมองว่า ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ มีลักษณะโครงสร้างอำนาจในแนวระนาบ (Horizontal power structure) ดังนั้น อำนาจที่จะเป็นกูญแจหลักในการระดม จึงมีอยู่จำกัด และนอกจากนั้น โครงสร้างระบบการสื่อสารในประเทศร่ำรวย ทำให้การใช้ความรุนแรงในการปฏิวัติ ไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้เลย

 

ที่มา Anti-Globalization Movements ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์, วัชรพล พุทธรักษา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: