คปก.แนะร่างกม.ฟอกเงิน จี้ทบทวนระบบตรวจสอบ

3 พ.ย. 2555 | อ่านแล้ว 573 ครั้ง

 

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ลงนามในหนังสือบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่..) พ.ศ..... เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา เนื่องจากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการตราพระราชบัญญัตินี้ เพื่อลดผลกระทบจากการจัดลำดับของ FATF ที่จะมีต่อสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ และมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจึงมีความเห็นและข้อสังเกต ต่อร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่...) พ.ศ.....ใน 3 ประเด็นสำคัญคือ 1.กรณีการกำหนด “ความผิดมูลฐาน” เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมความผิดร้ายแรง 20 ประเภทที่ FATF กำหนด คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ไม่เห็นพ้องกับการกำหนดให้ความผิด ที่สามารถยอมความได้ เป็นความผิดมูลฐาน เช่น ความผิดบางฐานที่เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามร่างมาตรา 3 (13) หรือที่เกี่ยวกับทรัพย์ตามร่างมาตรา 3 (18) เพราะความผิดมูลฐานที่เข้าข่ายพระราชบัญญัตินี้ ควรมีกรอบฐานความผิดที่ชัดเจน และสมควรมุ่งเน้นไปยังอาชญากรรมร้ายแรง มีลักษณะซับซ้อน ไม่ควรหมายรวมถึงความผิดอันยอมความได้ตามกฎหมายอาญา

 

ขณะเดียวกันคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ขอเสนอให้ทบทวนการกำหนดความผิดมูลฐานตาม ร่างมาตรา 3 (15) เนื่องจากข้อความดังกล่าว ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ที่จะยกเว้นไม่ใช้บังคับกับกลุ่มบุคคลที่ภาครัฐกำลังดำเนินการ เพื่อแก้ไขปัญหา อาทิ กลุ่มบุคคลที่อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างชุมชนกับเขตป่า และการแก้ปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น  ซึ่งจะไม่สอดคล้องกับหลักการสำคัญของกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นอกจากนี้เสนอให้ทบทวนข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และสภาผู้แทนราษฎรที่ให้ตัดบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคสามของร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี

 

โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเห็นว่า ความผิดมูลฐานที่เข้าข่ายพระราชบัญญัตินี้ ควรมีกรอบฐานความผิดที่ชัดเจน และโดยที่มาตรการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามพระราชบัญญัตินี้ มีผลในการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนนอกเหนือ ไปจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงสมควรมุ่งให้มีผลบังคับเอากับผู้กระทำความผิดรายใหญ่หรือผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงมีลักษณะซับซ้อนและเกี่ยวพันกับการทำธุรกรรมหรือเอกสารทางการเงิน จึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

 

2.การกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจที่มีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายยังไม่เห็นความจำเป็นตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ ที่ให้ตัด “ธุรกรรมที่มีความซับซ้อนผิดไปจากการทำธุรกรรมในลักษณะเดียวกันที่ทำกันอยู่ตามปกติ” และ “ธุรกรรมที่ขาดความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจ” ออกจากบทนิยาม “ธุรกรรม ที่มีเหตุอันควรสงสัย” ตามร่างมาตรา 5เพราะลักษณะธุรกรรมข้างต้น เป็นข้อบ่งชี้ประการหนึ่งถึงปัจจัยที่เป็นเหตุอันควรสงสัยในการทำธุรกรรมเพื่อนำไปพิจารณาร่วมกับข้อบ่งชี้และพฤติการณ์แวดล้อมประการอื่นได้

 

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายมีข้อสังเกตเกี่ยวกับความชัดเจน ในการกำหนดความสัมพันธ์ของโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ระหว่างสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับองค์กรหรือหน่วยงานที่มีบทบาทในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจอยู่เดิม เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น และมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่มีการกำหนดมาตรการเชิงลงโทษต่อผู้ประกอบธุรกิจที่มีหน้าที่รายงานตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรการดังกล่าวควรมีหลักเกณฑ์และกระบวนการในการพิจารณากลั่นกรองที่เปิดเผย และให้ผู้ได้รับผลกระทบมีโอกาสชี้แจง รวมทั้งมีหลักเกณฑ์และกระบวนการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบธุรกิจจนเกินสมควร

 

3.การดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเห็นว่า ควรมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยให้คณะผู้เชี่ยวชาญจัดทำรายงานคู่ขนาน เพื่อร่วมทบทวนและประเมินถึงประสิทธิผล และความชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยให้รายงานต่อรัฐสภาควบคู่ไปกับการรายงานสรุปผลการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยรายงานอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน นอกเหนือไปจากระบบการตรวจสอบถ่วงดุลภายในองค์กรที่มีอยู่แล้ว

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: