ดูนกห้วยขาแข้ง

27 พ.ย. 2555


 

หลายคนมีวิธีจัดการวันว่างของตัวเองแตกต่างกันไปตามแบบของตัว บ้างก็เดินเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าดังๆ ที่มีให้เห็นอยู่ทั่วกรุง บ้างก็ไปดูหนัง ฟังเพลง บ้างก็เพลิดเพลินกับการกินและมีความสุขกับการตระเวนหาอาหารที่เขาบอกกันว่ารสเลิศตามร้านมีชื่อต่างๆ  บ้างก็นิยมการสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของการดื่มยามค่ำคืน แต่ละคนก็มีวิธีการผ่อนคลายตัวเองแตกต่างหลากหลายกันไป

 

ตัวผมเองก็มีวิธีการจัดการวันว่างของตัวเองที่ไม่แตกต่างจากที่เขียนมาทั้งหมดแต่อย่างใด ทุกกิจกรรมที่เขียนเกริ่นมานั้นผมไม่พลาดเลยสักกิจกรรม แต่มีอยู่หนึ่งกิจกรรมที่หลายๆคนเมื่อรู้ก็มักจะถามว่าทำไมถึงได้ชอบกิจกรรมนี้นัก มันมีดีอะไร และทำไปทำไม กิจกรรมที่ว่านั้นก็คือ การดูนกและถ่ายภาพนกครับ

 

ต้องขอออกตัวไว้ก่อนนะครับ ว่าผมเป็นนักดูนกและถ่ายภาพนกมือใหม่ ที่ยังต้องฝึก ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อไต่เพดานบิน สั่งสมประสบการณ์ให้สูงขึ้น ไปเรื่อยๆ

.................................................................................................

 

 

หากอยากจะดูนก ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออกเดินทางเสาะแสวงหาสถานที่ที่มีต้นไม้หนาแน่นมากพอให้นกหลากหลายสายพันธุ์ได้เข้าพักอาศัย และหากิน ผมจึงต้องออกเดินทางเพื่อเสาะหาสถานที่ที่จะเจอต้นไม้ได้มากมาย ปลายทางของการเดินทางของผมและเพื่อนในทริปนี้จึงเป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งครับ

 

ผมออกจากที่พักเพื่อเดินทางไปสมทบกับเพื่อนร่วมทริป ตั้งแต่ตีสาม เพื่อให้เดินทางไปถึงห้วยขาแข้งได้ทันแสงแดดยามอรุณรุ่งในช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่สภาพแสงกำลังพอดี เหมาะแก่การถ่ายภาพ  และเป็นช่วงเวลาที่นกนานาพันธุ์ออกหากิน หากอยากพบเจอสหายตัวน้อยก็ต้องออกมาพบเขาในช่วงเวลาของพวกเขาด้วยเช่นกัน

 

ระหว่างช่วงเวลา กว่า 3 ชั่วโมง กับ 200 กิโลเมตร ผมและเพื่อนต่างก็จินตนาการถึงนกที่คาดว่าจะได้เจอและอยากเจอ ซึ่งถือว่าเป็นการฆ่าเวลาช่วงเดินทางได้อย่างดีทีเดียว ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุด ผมและเพื่อนเดินทางถึงห้วยขาแข้งช้ากว่าที่ตั้งใจไว้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการถ่ายภาพนกแต่อย่างใด

 

   ปากทางเข้า เขตรักษาพันสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

 

 

เมื่อขับรถมาถึงด่านตรวจแรก ก่อนเข้าสู่เขตที่ทำการฯ เจ้าหน้าที่ประจำด่านทักทายด้วยแววตาและรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรพร้อมสอดส่ายสายตาตรวจสอบความผิดปรกติในรถ เมื่อสายตาเหลือบมาเห็นกล้อง ก็ถามพวกเราในทันทีว่า “มาถ่ายภาพนกเหรอครับ” ซึ่งแน่นอน ผมต้องตอบว่า “ใช่ครับ” อยู่แล้ว ก็ตั้งใจมาถ่ายนกจริงๆนี่ เมื่อรู้เป้าหมายของเราแล้ว พี่เจ้าหน้าที่ก็ชี้เป้าให้เราทันที

 

เหยื่อ เอ้ย นายแบบตัวแรกที่เราได้เจอโดยการชี้เป้าของพี่เจ้าหน้าที่ก็คือ ........... ถึงตรงนี้ท่านคงคิดว่าเจ้าหน้าที่ชี้เป้าให้เราไปถ่ายนกกันใช่ไหมครับ ผมเอง ณ ตอนนั้นก็คิดแบบเดียวกันนีแหละครับว่าคงได้ถ่ายภาพนกหายากแบบชัดๆ เต็มๆตัวเป็นแน่ แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ชี้เป้าให้เราไปถ่าย กลับเป็นดังในภาพนี้ครับ พี่เค้าบอกว่าไม่ได้เจอกันง่ายๆนะ อยู่ตรงหน้าแล้วก็ถ่ายซะ

 

     เจ้าหน้าที่บอกว่า นี่คืองูเห่า มาเลย์

 

เห็นตัวเป็นๆแบบนี้ก็วงแตกสิครับ แต่พอเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นงูที่ยึดมาได้เมื่อคืน ก็เบาใจ อย่างน้อยก็คงพอจะคุ้นกลิ่นคนอยู่บ้าง ไม่พอพี่ท่านยังจับไปคล้องคอเล่น เลยทำให้กล้าเข้าไปถ่ายใกล้ๆเลยได้ภาพแผ่แม่เบี้ยขู่ ฟ่อ ฟ่อ แบบใกล้ๆ มาให้ได้ดูกันอย่างที่เห็นนี่แหละครับ

 

ถ่ายงูกันจนพอใจเราก็โบกมือล่ำลาพี่เจ้าหน้าที่ ที่ด่านแรก มุ่งหน้าสู่ที่ทำการฯ ก่อนขับรถออกมาพี่ท่านตะโกนตามท้ายมาว่า “ถ้าอยากเห็นนกยูงพันธุ์ไทย ให้สังเกตุด้านซ้ายมือนะ จะมีโป่งชื่อ โป่งช้างเผือกอยู่ ตรงนั้นแหละ ถ้าโชคดีจะได้เห็นนกยูงพันธุ์ไทย (ที่ปัจจุบันถือว่าหาดูได้ยากมากๆแล้ว) ออกมายืนรำแพนหางอวดสาวๆในฮาเล็มอยู่แถวๆนั้น”

 

เราออกรถด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าวันนี้ คงได้ภาพนกยูงกลับบ้านเป็นแน่ แต่ก็อย่างว่านะครับ นกมีปีก จะบินไปไหนก็ได้ ป่าก็ออกจะกว้างใหญ่ เราก็เลยขับผ่านโป่งช้างเผือกไปพร้อมกับแห้วถุงใหญ่ติดมือไปด้วย ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ภาพนกยูง ก็ยังมีนกอีกตั้งแยะรอเราอยู่

 

เมื่อเข้าถึงที่ทำการฯ ผมก็ได้พบกับเพื่อนมีปีกตัวใหม่บินมาเกาะหลังคา ที่สร้างคล่อมเพื่อบังฝนบังแดดให้กับพระพุทธรูปที่หน้าสำนักงานฯเข้าอย่างจัง จะว่าไปแล้วเจ้าตัวนี้ จริงๆก็ไม่ใช่เพื่อนใหม่แปลกหน้าแต่อย่างใด เพราะผมมีโอกาสได้เจอกับนกชนิดนี้มาแล้วหลายครั้ง ต่างกันตรงที่ครั้งที่เจอก่อนหน้านี้ (ณ สถานที่อื่นๆ) เป็นตัวผู้ แต่ครั้งนี้ผมเจอตัวเมีย ซึ่งไม่ได้มีสีสันสะดุดตาอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆแบบเนื้อๆเน้นอย่างนี้มาก่อน เลยต้องขอเก็บภาพเอาไว้ให้เต็มที่ และแล้วนิ้วโป้งด้านซ้ายของผมก็เริ่มทำหน้าที่ เพื่อเก็บภาพสหายตัวนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด ชื่อของเธอคือ นกกระเบื้องผา Blue Rock Thrush ซึ่งเป็นนกอพยพหนีอากาศหนาวมาพักอยู่ทั่วพื้นที่ของประเทศไทย ช่วงที่จะพบเห็นพวกเขาได้บ่อย คือ ตุลาคม ถึง มีนาคม ของทุกปี เห็นภาพแล้วคงรู้แล้วนะครับว่าทำไมถึงชื่อกระเบื้องผา ก็ทั้งเขาและเธอ ชอบโฉบมาเกาะตามก้อนหิน หรือ ยอดไม้ หรือ กระเบื้องหลังคา อวดสรีระอันผอมเพรียวโดดเด่นเป็นสง่าอย่างที่เห็นนี่แหละครับ  รูปคงยืนยันได้นะครับ ว่าของจริง ก็ดูสิครับ เกาะบนกระเบื้องนิ่งเลยแถมไม่พอเลือกเกาะเฉพาะรอนคู่ด้วย

 

 

       นกกระเบื้องผา ตัวเมีย Blue Rock Thrush Female

 

 

กลิ่นป่ายามเช้า บวกกับลมที่พัดโชยอ่อนๆ และ นกหลากหลายสายพันธุ์ ที่ออกมาส่งเสียงทักทายเพื่อนแปลกหน้าจากเมืองกรุง ทำเอาผมเพลินกับการเดินไปทางโน้นที ทางนี้ที ตามกลุ่มนกที่บินไปมา จนลืมเวลา เหลือบมองดูนาฬิกาอีกที ก็ถึงเวลาพักเติมพลัง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ว่าแล้วก็มุ่งหน้าสู่ร้านค้าสวัสดิการ ที่นี่ เปรียบเหมือนสวรรค์จริงๆครับ เพราะมีทุกอย่างให้เลือกสรรค์ หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย ผมและเพื่อนก็เริ่มสอดส่ายสายตาหานกในฝันของแต่ละคนกันต่อไป   

 

สำหรับผม การมาที่นี่ เป้าหมายคือนกหัวขวานครับ แต่ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายจนบ่ายแก่ๆก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาต้อนรับกันสักตัวเลย ก็เลยเดินเตร่ไปเรื่อยๆ มุดเข้าพงนี้ที พงนั้นทีและแล้วผมก็ได้มาเจอเพื่อนใหม่อีกชนิด นกจาบดินอกลาย Puff-throated Babbler เดินดุ่มๆหากินอยู่ในพุ่มไม้ สารภาพว่าตอนเดินเข้าไป ผมมองไม่เห็นว่ามีนกอยู่ จนเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่า มีนกกำลังเดินหากินอยู่ที่พื้น นกชนิดนี้ไม่ค่อยตื่นคน ขนาดผมยืนถ่ายอยู่ใกล้ๆยังไม่หนีเลย ถ่ายไปถ่ายมาชักสงสัยว่าตกลงที่ไม่หนี เพราะไม่ตื่นคนหรืออยากเป็นดาราหน้ากล้องกันแน่ 

 

     นกจาบดินอกลาย Puff-throated Babbler

 

 

กำลังมีสมาธิกับการถ่ายอยู่ดีดี ก็มีอันให้ต้องเสียสมาธิจนได้ เมื่อมีเสียงกระพือปีกอย่างแรงโฉบผ่านเหนือหัวผมไป สมองสั่งการทันทีให้แหงนหน้ามองขึ้นไป เพราะเสียงกระพือปีกดังขนาดนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ เมื่อเห็นเป้าหมาย ก็ต้องรีบคว้ากล้องเปลี่ยนเป้าทันที เพราะนกที่โฉบผ่านหัวผมไปนั้น ตัวใหญ่ หางยาว แถมส่งเสียงโหวกเหวก เหมือนท้าทายว่าแน่จริงก็ตามมาสิ มีหรือชายอกไม่ถึงสามศอกอย่างผมจะยอมได้ รีบสาวเท้าก้าวยาวๆ(ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ยาวมาก)ตามไปทันที เมื่อเห็นหางและแถบสีขาวพาดกลางกระหม่อม เหมือนไอ้หนุ่ม โมฮ็อก ก็รู้ได้ในทันที ว่าเจอกับจอมเจ้าชู้ตัวพ่อเข้าซะแล้ว จะเป็นนกอะไรไปไม่ได้นอกจาก นกขุนแผน Red-billed Blue Magpie คงสงสัยกันใช่ไหมละครับ ว่าทำไมถึงตั้งชื่อนกชนิดนี้เป็นชื่อเดียวกับจอมเจ้าชู้ตัวพ่อในวรรณคดีไทย สำหรับชื่อภาษาไทยนั้น นอกจากชื่อ นกขุนแผน แล้ว บางคนยังเรียกว่า นกสาลิกาดง อีกด้วย คุณหมอบุญส่ง เลขะกุล ได้กล่าวถึงชื่อภาษาไทยของนกชนิดนี้ไว้ในหนังสือ ธรรมชาติของนานาสัตว์ ชุดที่ 3 ในหน้า 107-108 ไว้ดังนี้ 

“ ทำไมนกนี้จึงได้ชื่อว่า นกขุนแผน ก็ไม่รู้ คิดไม่ออกจริงๆ ขุนแผนรูปหล่อก็จริง แต่ตัวเขาไม่ดุร้ายขี้ขโมยลูกเขากินแบบนี้เลย เคยขโมยนางวันทองจากขุนช้างก็เพียงครั้งเดียว แต่จะเรียกว่าขโมยก็ไม่ถูก จะว่าเป็นขมายก็ไม่ใช่ เพราะเป็นของเดิมของตัว เจ้าของเขาตามมาพบ เขาเอาคืนไปโดยไม่บอกเท่านั้น ส่วนที่บางคนชอบเรียกมันว่า นกสาลิกาดง นั่นก็แปลก ไม่เห็นมันมีอะไรที่ตรงไหนเหมือนกับนกสาลิกาบ้านสักอย่าง แต่ทำไมเขาจึงเรียกมันเช่นนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน” 

 

 

   นกขุนแผน หรือ นกสาลิกาดง Red billed Blue Magpile

 

 

ผมเดาเอาเองนะครับ ด้วยนกขุนแผนนั้นเป็นนกที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับ อีกา ที่ตัวดำเป็นถ่าน แถมตัวก็ใหญ่เทอะทะ ไม่ได้มีรูปร่างสะโอดสะองสวยสง่าราวกับเทพบุตรจุติลงมาจากสวรรค์ ด้วยความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้เลยเป็นที่มาของชื่อ ขุนแผน

 

ถ่ายเจ้านกขุนแผนจนเหนื่อย (ที่เหนื่อยนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมเหนื่อยเพราะต้องคอยเดินตามอยู่ตลอด กว่าจะนิ่งให้ถ่ายได้แบบนี้ เดินจนขาขวิดกันเลยทีเดียว เพราะพี่แกพอเกาะกิ่งได้ก็จะรีบหลบเข้าพุ่มไม้ไม่ยอมให้ถ่ายได้ง่ายๆซักที) กะว่าจะนั่งพักเอาแรงสักหน่อย นกรับแขกประจำถิ่นที่รอคอยก็ปรากฏตัวออกมาให้ยลโฉมกันจนได้

 

นกหัวขวานเขียวตะโพกแดง Black-headed Woodpecker ออกมาให้เห็นกันทั้งฝูงขนาดนี้ มีเหรอครับที่ผมจะนั่งพักเหนื่อยนิ่งๆดูพวกมันได้ จัดแจงหามุมเดินเข้าหานก มองหาฉากหลังสวยๆที่จะไม่ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาแล้วสว่างจ้าเกินไป รวมถึง เดินเข้าไปถ่ายแบบเห็นกันจะๆเต็มๆ โดยนกไม่ตื่น เมื่อได้ที่ที่เหมาะสมแล้ว นิ้วโป้งข้างซ้ายก็ทำงานอีกครั้ง เสียงชัตเตอร์รัวเร็วอย่างกับเสียงปืน กล นี่หากเป็นปืนจริงคงได้ขึ้นหน้าหนึ่งข้อหาฆาตกรรมหมูเอ้ยหมู่เป็นแน่  

 

นกหัวขวานเขียวตะโพกแดง ตัวผู้ (มีสีแดงที่กระหม่อม) Black headed Woodpecker

 

นกหัวขวานเขียวตะโพกแดง ตัวเมีย (ไม่มีสีแดงที่กระหม่อม) Black headed Woodpecker

 

 

ถ่ายนกหัวขวานจนเมื่อยนิ้วแล้ว ยังพอมีเวลาเดินเตร่อยู่ได้อีกสักพักก่อนจะมืด ก็เลยเดินเตร็ดเตร่ไปมาเผื่อโชคดีได้เจอนกใหม่ๆมาเพิ่มอีก แล้วโชคก็เข้าข้างผม อยู่ดีดี สายตาก็เหลือบไปเห็นนกตัวสีน้ำเ งิน บินหายวับเข้าไปในพุ่มไม้ ไม่รอช้ารีบเดินมุดเข้าพงไม้ตามเข้าไปทันที แล้วก็จริงอย่างที่เห็น ผมได้พบกับนกแล งงกันใช่ไหมครับ นกอะไรชื่อนกแล ลองดูภาพสิครับแล้วจะรู้ว่าใช่นกแลจริงๆหรือไม่

 

  นกจับแมลงอกสีฟ้า Hainan blue Flycatcher

 

 

ปวดหัวกับมุกผมไหมครับ นกตัวที่เจอนี้คือ นกจับแมลงอกสีฟ้าครับ Hainan Blue Flycatcher เป็นนกประจำถิ่น  ที่ว่าประจำถิ่นนี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นเจ้าถิ่นหรือขาใหญ่อะไรหรอกนะครับ แต่หมายถึงว่าเป็นนกที่พบเห็นได้ตลอดทั้งปี มีนิสัยชอบบินโฉบจับแมลงกินไปมาและจะบินกลับมาเกาะที่กิ่งเดิมทุกครั้ง

 

ซุ่มถ่ายเจ้าตัวนี้อยู่นาน เห็บก็เกาะยุงก็กัด เลยเดินออกจากพุ่มไม้ไปหาอากาศโล่งๆหายใจพักเหนื่อยเสียหน่อย เดินอยู่ดีดีรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างอยู่บนต้นไม้เหนือหัวผมขึ้นไป แหงนขึ้นไปมองก็เกิดอาการตกหลุมรักขึ้นมาทันใด เมื่อสายตาสองคู่ประสานกันความรักก็เกิดในบัดดล จะไม่ให้รักได้อย่างไรกันหละครับ ก็สายตาที่ประสานมา เป็นตาคู่งามของ นกคัคคูลาย Banded bay Cuckoo นอกจากนั้นยังพบนกพื้นๆทั่วไปที่ออกมาทักทายในละแวกเดียวกันอีกทั้ง นกบั้งรอกใหญ่ รวมถึงนกโพระดกธรรมดาอีกด้วย

 

  นกคัคคูลาย Banded bay Cuckoo

 

    นกบั้งรอกใหญ่ Green billed Malkoha

 

  นกโพระดกธรรมดา Lineated Barbet

 

 

เมื่อความมืดเลิ่มคล้อยเคลื่อนมาเยือน เจ้าโพระดกก็ส่งเสียงร้อง เหมือนจะบอกเชิงเยาะเย้ยอยู่เป็นนัย ฟังแล้วเหมือนได้ยินมันร้องบอกว่า “หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ กลับบ้านกันได้แล้วสิ” เลยทำให้ผมนึกย้อนไปถึงผู้ใหญ่ใจดีท่านนึง ที่เคยอบรมบ่มนิสัย หาคำสั่งสอนและแง่คิดดีดีมาคอยกรอกหูผมให้ซึมผ่านกระดูกโกรน ทั่ง ฆ้อน (จำไม่ได้แล้วครับว่าเรียงยังไง) ก่อนจะผ่านเข้าสู่สมองกะโหลกกะลาของผม ว่า “มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตเดียวที่เป็นสิ่งแปลกปลอมของป่า และ สัตว์ป่า เมื่อเราเข้าหาป่า จงฟังเสียงป่า และอยู่กับป่าอย่างถ่อมตนที่สุด” เมื่อเขามาเตือนขนาดนี้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะโบกมือล่ำลาพร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณให้กับผืนป่าที่ทำให้วันว่างของผมผ่านไปอย่างมีความสุข

 

ขอคาราวะจากใจต่อหัวหน้าสืบ นาคะเสถียร ที่สละชีวิตเพื่อรักษาผืนป่าแห่งนี้เอาไว้ ไม่เช่นนั้นเราคงสูญเสียผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์นี้ไปเสียแล้ว  

 

 

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: