กระดูกค้อน ทั่ง โกลน ของผมกระด้างเกินกว่าจะวิพากษ์ วิจารณ์ และวิเคราะห์เสียงที่ได้ยินอยู่ตรงหน้า ดีที่สุดเพียงแค่รับรู้ถึงกลิ่นอายจางๆ ของดนตรีถิ่นใต้บ้านเรา และยินยอมพร้อมใจให้ความรู้สึกทำหน้าที่ที่เหลือ
ต้นเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านมา ผมมีโอกาสดีๆ ได้เข้าชมการแสดงดนตรีจากวงอองซอมเบิล โมเดโร ปาลู (Ensamble Modero Palu) แห่งสุลาเวสีกลาง กลุ่มนักดนตรีที่เดินทางมาจากเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศที่มีเกาะมากที่สุดในโลกถึง 17,000 เกาะ ซึ่งเป็นเนื้อดินชั้นเลิศที่เอื้อให้วัฒนธรรมอันหลากหลายงอกงามบนแผ่นดินอินโดนีเซีย
เกาะสุลาเวสีเป็นเกาะใหญ่อันดับ 4 จาก 5 เกาะหลักของอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ระหว่างเกาะกาลิมันตันและหมู่เกาะเครื่องเทศ-มาลุกุหรือโมลุกกะ สุลาเวสีกลางคือจังหวัดหนึ่งบนเกาะแห่งนี้ โมฮาหมัด อามิน อับดุลลาห์ หัวหน้าวงอองซอมเบิลฯ วัย 44 ปี เล่าว่า การแสดงของพวกเขาเรียกว่า Kakula มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมก็อง (Gong Culture) หรือวัฒนธรรมฆ้องที่แพร่หลายมาจากทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์จนถึงสุมาตราตะวันตก เครื่องดนตรีเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องตีและเคาะ (Percussion)
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อินโดนีเซียประกาศปลดแอกตนเองจากเนเธอร์แลนด์เจ้าอาณานิคมในปี พ.ศ.2488 เป็นธรรมดาของประเทศเกิดใหม่ที่ต้องการค้นหารากเหง้าอัตลักษณ์ของตน เพื่อบอกเล่าว่า ‘ฉันเป็นใคร’ และยืนยันตำแหน่งแห่งที่ของตนบนโลกใบนี้ ทั่วทุกภูมิภาคของอินโดนีเซียต่างมุ่งเฟ้นหาอัตลักษณ์ทางศิลปะของตน คาคูลา ดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่อาศัยอยู่ในสุลาเวสีกลาง เช่น ชาวไคลี ชาวคูลาวี ชาวโมรี ชาวบาดา เป็นต้น ถูกเลือกเป็นอัตลักษณ์ทางศิลปะของสุลาเวสีกลาง
ผมเชื่อว่าวัฒนธรรม-ดนตรีคือหนึ่งในนั้น-คือหนังสือเล่มใหญ่ที่ผู้คน ณ มุมต่างๆ ของโลกใช้ขับขานเรื่องราวของจักรวาล โลก ทวยเทพ ภูตผี ชีวิต สัตว์ ต้นไม้ ผืนดิน ผืนน้ำ ท้องฟ้า ท้องทะเล ฯลฯ แน่นอนว่าเฉพาะดนตรีก็น่าสนใจโดยตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าแนวคิดเบื้องหลังและความตั้งอกตั้งใจของโมฮาหมัดที่ก่อตั้งวงอองซอมเบิลขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2540 ก็ดูน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
งอกงาม-สรรค์สร้าง
โมฮาหมัดเกิดในครอบครัวที่มีแม่เป็นนักดนตรีคาคูลาสายดั้งเดิมผู้มากฝีมือ ซึ่งในโลกเก่า คาคูล่าเป็นดนตรีที่บ่งบอกความเป็นชนชั้นอันสูงกว่าคนทั่วไปของผู้เล่น เขาคุ้นเคย ซึมซับ วิธีการเล่นและนัยปรัชญาของคาคูล่าตั้งแต่เด็กจากแม่
“คาคูล่าเป็นดนตรีที่เล่นในครอบครัวขยายมาก่อน เวลาเล่นจึงเกิดการเปลี่ยนกันเล่นเครื่องดนตรี ทุกคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชิ้น สลับกันเล่น ซึ่งเป็นปรัชญาของดนตรีนี้ คือการไม่แบ่งแยกระหว่างผู้เล่นและผู้ดู ทุกคนเป็นได้ทั้งสองสถานะ”
เรื่องนี้ชักจะยากขึ้นแล้ว
แนวคิดของดนตรีอองซอมเบิล (Ensamble) ที่มีคำแปลว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ ใช้วัตถุดิบจากการละเล่นคาคูลาแบบดั้งเดิม ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ ทดลอง และค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สำหรับการแสดง กระทั่ง ปี พ.ศ.2500 ณ สุลาเวสีกลาง ความพยายามสร้างสรรค์ต่างๆ ก็ตกผลึกเป็นดนตรีแนวใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ คาคูล่าแนวใหม่ (New Creation Kakula)
โมฮาหมัดพูดว่า การแสดงคาคูล่าแนวใหม่ของเขาจึงไม่ใช่แค่การบอกเล่าอดีต แต่เป็นการแสดงที่ต้องการนำไปสู่การใช้ชีวิตในอนาคตด้วย ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งจิตวิญญาณของวัฒนธรรมก็อง เพราะไม่ว่าเวลาจะผันเปลี่ยนอย่างไร รากฐานของคาคูล่าคือการผสมผสานระหว่างการแสดงดนตรีกับการมีส่วนร่วมของผู้ชม การลดช่องว่างระหว่างผู้แสดงกับคนดู วงอองซอมเบิลของโมฮาหมัดจึงไม่ต้องการเป็นแค่นักแสดงที่อยู่บนเวที มันคือการสื่อสารกันระหว่างนักดนตรีและชุมชน คือการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
“ดนตรีสำหรับเราคือการเข้าสังคม คือการประกอบกิจกรรมทางสังคม ไม่ใช่แค่การนำเสนอสวยๆ เพื่อให้คนดูตบมือแล้วกลับบ้าน
“ผมยังพัฒนามันเป็น Ethnotainment เป็นคำที่ผมสร้างสรรค์ขึ้น เพราะเราเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อก้าวไปข้างหน้า ศิลปะดั้งเดิมไม่ใช่อะไรที่คุณต้องรักษามันให้คงไว้แบบเดิมอยู่อย่างนั้น แต่คุณต้องพัฒนาและใช้มัน ศิลปะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เหมือนการเมือง เหมือนเศรษฐกิจ ตัวศิลปะเองก็ต้องข้องเกี่ยวกับสองสิ่งนี้ มันคือวิภาษวิธี (Dialectic)”
วิภาษวิธีคือแนวคิดที่เชื่อว่า ในสังคมหนึ่ง ๆ เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างสิ่งเก่าและสิ่งใหม่อยู่เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความขัดแย้งในเชิงทำลายล้างเสมอไป สิ่งเก่า (Thesis) มักเผชิญกับการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ ความไม่เห็นด้วย (Antithesis) กระบวนการปะทะสังสรรค์ดังกล่าวเมื่อดำเนินไปสักระยะหนึ่งก็จะเกิดอาการตกผลึกและสังเคราะห์เป็นสิ่งใหม่ (Synthesis) แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งใหม่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งเก่าและวนเข้าสู่กระบวนการเดิมของวิภาษวิธี
โลกเก่า-โลกใหม่
ผมสนใจเรื่องที่โมฮาหมัดเล่าว่า แม่ของเขาเป็นนักดนตรีคาคูล่าสายดั้งเดิม แล้วการที่ลูกชายนำดนตรีที่เธอรักมาตีความใหม่ เธอรู้สึกรู้สาอย่างไรกับความไม่คุ้นเคยนี้ โมฮาหมัดกล่าวว่า แม่ของเขาจากไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 ก่อนที่เขาจะมาอยู่ตรงจุดนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าแม่ของโมฮาหมัดยังมีชีวิตอยู่และยังโลดแล่นอยู่ในวงการ เขาก็คาดการณ์ว่าคงต้องเกิดการทุ่มเถียงกันไม่น้อย
เป็นเรื่องธรรมดาที่คติความเชื่อจากโลกเก่าและโลกใหม่มักปะทะขัดแย้งกัน โลกเก่ามองสิ่งใหม่ว่าไร้รากและฉาบฉวย โลกใหม่มองสิ่งเก่าว่าไม่สร้างสรรค์และคร่ำครึ ยากจะหาจุดประนีประนอมจุดใดลบเลือนพรมแดนเก่า-ใหม่ ...แต่ผมรู้สึกว่าวิธีคิดทำนอง Clash of Civilization หรือการตบตีกันระหว่างโลกเก่า-โลกใหม่, วัฒนธรรมเก่า-ใหม่ ออกจะเชยพอๆ กัน และใช้ไม่ได้กับท่วงทำนองของวัฒนธรรม เพราะไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ สิ่งต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่วันยันค่ำ
สิ่งที่เป็นของเก่า เอาเข้าจริงๆ แล้วล้วนเป็นสิ่งที่พัฒนามาจากสิ่งที่เก่ากว่า ขณะที่สิ่งใหม่ก็คงงอกงามขึ้นไม่ได้หากไร้รากเหง้าจากสิ่งที่เคยดำรงอยู่ก่อน
“ผมกำลังทำวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ อาจารย์ของผมพูดว่า มันคือวิภาษวิธี ไม่เชิงขัดแย้ง ในวงของผมก็มีทั้งแบบเก่าและใหม่รวมกัน” โมฮาหมัดเล่า
ผมลืมบอกไป โมฮาหมัดจบการศึกษามาทางด้านดนตรีชาติพันธุ์วิทยา (Ethnomusicology) จากมหาวิทยาลัยฮาวาย ไม่ธรรมดา! แนวคิดต่อวัฒนธรรมดนตรีของเขาจึงไม่จำกัดอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่ง
บทเพลง-ปรัชญา
ช่วงหัวค่ำ อากาศกำลังดี ผมเตร็ดเตร่อยู่ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อรอชมและฟังการแสดงคาคูล่า ระหว่างที่การแสดงยังไม่เริ่ม นักดนตรีสองคนแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดพื้นเมืองดั้งเดิมและผ้าโพกศีรษะสีสด ทั้งสองออกมาบรรเลงชิ้นสองชิ้นอยู่ระยะหนึ่งก่อนกลับเข้าหลังเวที แต่เมื่อการแสดงเริ่มขึ้นทั้งสองก็กลับออกมาด้วยชุดที่ดูร่วมสมัยขึ้น ผมเดาว่าสิ่งที่เห็นก่อนการแสดงจริงๆ เริ่มต้น อารมณ์คงคล้ายคลึงการไหว้ครูในศิลปะการแสดงของไทย
เพลงทั้ง 10 ที่นำมาแสดงมีทั้งที่เป็นเพลงคาคูล่าดั้งเดิม เพลงที่ประยุกต์ดัดแปลงจากเพลงในการละเล่นของเด็ก หรือแม้แต่เพลงที่เรียบเรียงใหม่โดยสอดแทรกรสชาติของ Rhythm & Blues ลงไป
ไม่ต้องสงสัย ผมไม่มีทางเข้าใจเนื้อหาของเพลงซึ่งเป็นภาษาบาฮาซา แต่เรื่องนี้คงมิใช่อุปสรรค ท่วงทำนองของบางเพลงกระทบใจเสียจนกำแพงภาษาพังครืนลงต่อหน้าต่อตา โดยเฉพาะเพลง I Belo Rara (อิ เบโล รารา) แต่งโดยอามิน อับดุลลาห์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 เนื้อเพลงกล่าวถึง (ตามที่เขียนในสูจิบัตร) ความคิดถึงของหญิงผู้หนึ่งที่มีต่อสามีผู้วายชนม์ ยิ่งเมื่อได้เสียงร้องของอนารี อิก้า โดลิต้า นักร้องหญิงประจำวง ที่ผมอยากบอกว่าเสียงของเธอใสกังวานเหมือนน้ำค้างกลางหมอกเช้า เมื่อท่วงทำนองและเสียงร้องผนวกเข้าด้วยกันแล้ว ถ้อยคำอธิบายอื่น ๆ ก็เกินจำเป็นไปโดยปริยาย มันเหมือนการปลุกและปลอบบางความทรงจำในตัวที่ยังตกค้างจากการเดินทางไปทำข่าวเรื่องปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียที่เพิ่งผ่านพ้น
หรือในบทเพลง Poveba (โปเวบา) หรือพัดมือ ประพันธ์โดย Hasan Bahasyuan ในปี พ.ศ.2513 บทเพลงนี้มาพร้อมการร่ายรำของช่างฟ้อนนาม Madjid Kupalele โดยใช้การเคลื่อนไหวแบบดั้งเดิมในพิธี Balia Bayasa คำว่า Bayasa ในภาษาบาฮาซา แปลว่า เพศที่สาม
ใช่, Madjid เป็นเพศที่สาม การเป็นเพศที่สามในสังคมมุสลิมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเป็นเพศที่สามในโลกดนตรีไม่ใช่เรื่องยาก โมฮาหมัดเล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า ในสังคมอินโดนีเซียก่อนการเข้ามาของศาสนาอิสลาม เพศที่สามมิใช่เรื่องต้องห้าม ตรงกันข้าม กลับมีความเชื่อว่าเพศที่สามคือผู้ที่มีพลังพิเศษบางอย่างในตัว พิธีบูชายันต์ในอดีต เพศที่สามเท่านั้นคือผู้ลงมือฆ่าสัตว์ที่จะใช้บูชายันต์
โมฮาหมัดยังอธิบายวิถีการเต้นในดนตรีคาคูล่าว่า
“การแบ่งแยกระหว่างการเต้นและดนตรีเป็นวิถีคิดแบบตะวันตก สิ่งที่ผมเต้น (เขาลุกขึ้นเต้นและเปล่งเสียงเป็นจังหวะ) คุณมองว่าเป็นการเต้นหรือการร้องเพลง มันคือทั้งสองอย่าง มันแยกกันยาก คุณไม่สามารถแยกกันได้ การแสดงคาคูล่าของผมมันไม่มีการแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากกัน มันช่วยอธิบายบริบทในสังคมของผมได้ดี ว่ามันเกิดมายังไง มันไม่เคยแยกกันเลย”
หัวใจของเรายังเปิดกว้าง
การแสดงจบ โมฮาหมัดและวงอองซอมเบิลฯ เดินทางกลับอินโดนีเซียไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว แผ่นซีดีที่โมฮาหมัดให้ผมระหว่างการสนทนา บทเพลง I Belo Rara ถูกเปิดฟังวนมาซ้ำไปจนช้ำ ท่ามกลางกระแสธารของบทเพลงที่ถูกตลาดและความนิยมจำกัดให้เหลือเพียงไม่กี่ตระกูล ผมถือว่านี่คือโอกาสและโชค เปล่าเลย, ผมไม่ได้ชิงชังรังเกียจตระกูลเพลงใดๆ เพียงแค่คิดว่า คงดีกว่าถ้าเราจะมีช่องทางทำความรู้จัก เรียนรู้ และรับฟังเสียงของต้นไม้ ทะเล แผ่นดิน ผ่านวัฒนธรรมเพลงจากดินแดนอื่นๆ ของโลก มากกว่าที่อุตสาหกรรมเพลงกำหนด
“ในสิ่งเก่ามีสิ่งใหม่ มีความคอนทราสต์ (Contrast) กัน แต่อยู่ในที่เดียวกัน ดนตรีเก่า แต่พวกใส่สูทตะวันตก แต่เราก็ใส่โสร่งสัญลักษณ์ที่เป็นของอินโดนีเซียด้วย ใน 1 คนมีหลายอย่างที่แตกต่างรวมกันอยู่ เรายังเป็นคนอินโดนีเซีย มีวัฒนธรรมของตัวเอง แต่หัวใจของเราก็ยังเปิดกว้างสำหรับสิ่งใหม่ๆ ของชาติอื่นด้วย”
คือบทสรุปอันงดงามจากโมฮาหมัด
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ