เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2555 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็น หัวข้อ “1 ปีรัฐบาล ประชัน 1 ปีฝ่ายค้าน โอกาสของน.ส.ยิ่งลักษณ์ โอกาสของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และประเด็นร้อนอื่นๆ ในสายตาของสาธารณชน”จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ มุกดาหาร หนองคาย ชัยภูมิ ขอนแก่น สุรินทร์ อุดรธานี พัทลุง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช จำนวน 2,251 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 4 - 8 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา
เมื่อสอบถามความพอใจของประชาชนต่อนโยบายสาธารณะ ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 56.8 พอใจนโยบายด้านสุขภาพของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ร้อยละ 30.9 พอใจพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 12.3 ไม่พอใจทั้งสองพรรค ส่วนประชาชนร้อยละ 53.9 ยังพอใจนโยบายด้านการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ร้อยละ 35.1 พอใจนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 11.0 ไม่พอใจทั้งสองพรรค
ดร.นพดลกล่าวว่า ที่น่าพิจารณาคือ นโยบายด้านค่าครองชีพ และนโยบายด้านแก้ปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายที่ประชาชนยังไม่พอใจ ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ในสัดส่วนที่สูงที่สุดคือ ร้อยละ 44.9 และร้อยละ 39.2 ตามลำดับ โดยร้อยละ 30.3 พอใจพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 24.8 พอใจพรรคประชาธิปัตย์ในนโยบายด้านค่าครองชีพ และเพียงร้อยละ 31.2 พอใจพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 29.6 พอใจพรรคประชาธิปัตย์เรื่องแก้ปัญหายาเสพติด ขณะที่นโยบายด้านการศึกษาและนโยบายด้านราคาสินค้าทางการเกษตร ที่น่าเป็นห่วงเพราะ ไม่ถึงครึ่งหรือร้อยละ 40.2 ที่ประชาชนพอใจพรรคเพื่อไทย แต่ร้อยละ 46.7 พอใจพรรคประชาธิปัตย์
“ชาวบ้านพอใจพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าในเรื่องนโยบายการศึกษา ขณะที่นโยบายด้านสินค้าการเกษตรได้รับความพอใจจากประชาชนไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ คือร้อยละ 34.5 ที่พอใจต่อพรรคเพื่อไทย กับร้อยละ 35.1 ต่อพรรคประชาธิปัตย์” ดร.นพดลกล่าว
นอกจากนี้เมื่อศึกษาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และปัญหาอุปสรรค ของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์พบว่า จุดแข็ง เช่น การแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การเข้าถึงประชาชน เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง มีความชัดเจนในนโยบายสาธารณะ ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 52.6 ระบุพรรคเพื่อไทย มีจุดแข็งมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอยู่ร้อยละ 34.1 ตรงกันข้าม ที่น่าพิจารณาคือในเรื่องจุดอ่อน เช่น ไม่แข่งขันกันในเชิงนโยบายสาธารณะ เอาแต่เล่นการเมือง มุ่งแย่งชิงอำนาจกันเกินไป คอยแต่จับผิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ผิดจริยธรรมทางการเมือง เป็นต้น พบว่า ประชาชนร้อยละ 28.2 ระบุเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหมายความว่ามีจุดอ่อนน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอยู่ถึงร้อยละ 50.5
อย่างไรก็ตามเมื่อศึกษาถึง “โอกาส” ของทั้งสองพรรค เช่น มีอำนาจบริหารจัดการงบประมาณ และทรัพยากรของประเทศ มีอำนาจบริหารประเทศ พบว่า สัดส่วนของประชาชนมากพอๆ กัน ระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรค คือร้อยละ 45.4 เป็นของพรรคเพื่อไทยและร้อยละ 45.9 เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อศึกษา “ปัญหาอุปสรรค” เช่น การชุมนุมประท้วงหรือม็อบต่าง ๆ ความขัดแย้งภายในรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลพบว่า ร้อยละ 44.6 เป็นของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 49.6 เป็นของพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อถามถึงโอกาสที่ประชาชนให้กับนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.6 ระบุว่า ควรให้โอกาสทำงานต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 16.4 ระบุไม่ควรให้โอกาสแล้ว นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.3 ระบุว่า ควรให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย เพื่อต่อสู้ในทุกคดี ในขณะที่ร้อยละ 19.7 ระบุไม่ควรให้โอกาส เมื่อถามถึงผลงานของพ.ต.ท.ทักษิณ ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.3 ยังจำได้ต่อผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณในการแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 25.7 จำไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตามที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงสาเหตุที่จะทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่มั่นคง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.2 ระบุปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น รองลงมาคือ ร้อยละ 81.7 ระบุความขัดแย้ง แย่งชิงผลประโยชน์ของคนในฝ่ายรัฐบาลเอง ร้อยละ 74.3 ระบุความทุกข์ยากความเดือดร้อนของประชาชน ร้อยละ 62.0 ระบุผู้มีอำนาจภายนอกรัฐบาล ร้อยละ 57.3 ระบุการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำ และร้อยละ 49.5 ระบุฝ่ายค้าน
เมื่อถามถึงช่วงเวลาที่สนับสนุนให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ทำงานต่อไป พบว่า ร้อยละ 55.2 ระบุมากกว่า 2 ปีจนครบวาระ ขณะที่ร้อยละ 20.1 ระบุว่า 1-2 ปี ร้อยละ 10.0 ระบุว่า 6 เดือนถึง 1 ปี และร้อยละ 14.7 ระบุไม่เกิน 6 เดือน ตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ที่ถ่ายรูปคู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณพบว่า ร้อยละ 60.4 ระบุว่า ไม่ผิด เพราะเป็นความชอบส่วนตัว เป็นความรักความศรัทธาส่วนตัว ทั้งสองคนเป็นคนดี ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันระหว่างทั้งสองคน และไม่มีกฎหมายห้ามทำ เป็นต้น ขณะที่ร้อยละ 25.1 คิดว่าผิด เพราะเป็นเรื่องความไม่เหมาะสม ไม่ทำหน้าที่ เป็นต้น และร้อยละ 14.5 ไม่มีความเห็น
และเมื่อสอบถามถึงความพอใจโดยภาพรวมต่อ พล.ต.ท.คำรณวิทย์พบว่า ร้อยละ 73.8 พอใจ เพราะมีความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ ช่วยเหลือชาวบ้าน มีความจริงใจ ไม่เสแสร้ง ไม่เกรงกลัวอิทธิพล ตรงไปตรงมา และเข้าถึงประชาชน เป็นต้น ขณะที่ร้อยละ 26.2 ไม่พอใจ เพราะถ่ายรูปคู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศตัวชัดเจนเกินไป และจะรักใครชอบใครน่าจะเก็บไว้ในใจ เป็นต้น
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ