การตีความคำพิพากษาศาลโลก ปี 2505 คดีปราสาทพระวิหาร

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี 9 ก.พ. 2555


 

ในวันที่ 15มิถุนายน ปี ค.ศ. 1962หรือ พ.ศ. 2505ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ บางตำราเรียกว่า ศาลโลกใหม่   ได้ตัดสินโดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ลงความเห็นว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

 

โดยเหตุนี้จึงพิพากษา โดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ว่า ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือ ในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา

 

            โดยคะแนนเสียง เจ็ดต่อห้า ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องคืนให้แก่กัมพูชา บรรดาวัตถุชนิดที่ได้ระบุไว้ในคำแถลงสรุปข้อห้าของกัมพูชา  ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยอาจจะได้โยกย้ายออกไปจากปราสาทหรือบริเวณพระวิหาร นับแต่วันที่ประเทศไทยเข้าครอบครองพระวิหาร เมื่อ ค.ศ. 1954(ถ้อยคำในคำพิพากษาเป็นสำนวนแปลของ กระทรวงการต่างประเทศของไทย)

 

            เมื่อได้ทราบคำพิพากษาดังนั้นแล้ว ประเทศไทยในฐานะผู้ถูกฟ้องก็มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตาม ความจริงก็มีการถกเถียงกันอยู่ในเวลานั้นแล้วว่าจะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ของศาลด้วยเห็นว่าไม่เป็นธรรม แต่เมื่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาในวันที่ 26มิถุนายน พ.ศ. 2505โดยรับฟังความเห็นของศาสตราจารย์ ฮังรี โรแลง ทนายความฝ่ายไทย ซึ่งบอกว่าศาลผิดที่วินิจฉัยว่า “เส้นเขตแดนที่ลากไว้บนแผนที่ภาคผนวก 1นั้นย่อมนำมาใช้แทนเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาได้ แต่คำพิพากษานี้ได้เขียนอย่างระมัดระวังและไม่มีอะไรแสดงว่าไม่เที่ยงธรรม”

 

            “การปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจะนำไปสู่ความยุ่งยากอย่างร้ายแรง”

 

            ข้อที่น่าสังเกตสำหรับความเห็นทนายฝ่ายไทยคือ ดูเหมือนจะเข้าใจว่า ศาลได้ยึดถือเอาเส้นเขตแดนที่ลากตามแผนที่ภาคผนวกที่ 1 (ระวางดงรัก มาตราส่วน 1:200,000) เป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินคดี และทนายความฝ่ายไทยก็เห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่า พฤติกรรมของประเทศไทยในอดีตต่อแผนที่ดังกล่าว เป็นจุดอ่อนที่สุดในการต่อสู้คดี  

 

ประเด็นนี้ดูเหมือนเป็นการยอมรับกลายๆแล้วว่า เรื่องเขตแดนนั้นแยกกันไม่ออกเลยจากคำพิพากษา ซึ่งต่างจากความเห็นของนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ที่ว่า ศาลไม่ได้พิจารณาเส้นเขตแดนเลย จริงอยู่ศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดน ก็เนื่องจากไม่ได้ขอกันเช่นนั้น แต่จะว่าศาลละเลยนั้น ไม่ใช่แน่

 

            อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญสำหรับประเทศที่จะต้องพิจารณาในเวลานั้นคือ เมื่อการปฏิเสธทำไม่ได้ จะปฏิบัติอย่างไรให้สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาล

 

            คณะรัฐมนตรีในวันที่ 26 มิถุนายนพ.ศ. 2505 ได้มีแนวทางปฏิบัติดังนี้

 

            1ตัวพระวิหารอยู่ในแดนเขมร เราไม่พูดถึง  แต่เรายินดีปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 94

 

            2เรื่องการถอนทหารตำรวจ เราก็ถอนออก แต่ตามจริงอยู่ที่เดิม โดยถือว่าอยู่นอกแนวแล้ว

 

            3ขั้นต่อไปที่เขมรจะเข้ามายึดครองจึงจะเกิดปัญหาบริเวณ การเจรจาก็ไม่มีต่อกัน

 

            4สิ่งของก็มีแต่ขึ้นเลว เขาทวงมาก็คืนไป

 

            วิธีปฏิบัตินั้นนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งรัฐมนตรีมหาดไทยในเวลานั้น ได้เสนอวิธีปฏิบัติโดยยึดหลักการที่ว่า “จะให้กัมพูชาได้ไปซึ่ง(ซาก)ทรากปราสาทและพื้นที่รองรับปราสาทเท่านั้น

 

            รัฐมนตรีมหาดไทยเสนอ 2 แนวทางคือ ทางแรกทำเป็นรูปสามเหลี่ยมครอบปราสาทและทางที่สอง ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบปราสาทพระวิหาร

 

            ทั้งนี้ รัฐมนตรีมหาดไทย ไม่ได้เหตุผลประกอบว่า ทางเลือกแต่ละทางนั้นยืนอยู่บนหลักวิชาการใด หากแต่ได้คำนวณพื้นที่ว่าถ้าเป็นแบบสามเหลี่ยมจะคิดเป็นพื้นที่ของปราสาท ½ตารางกิโลเมตร แต่ถ้าเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าจะเป็นพื้นที่ ¼ตารางกิโลเมตร

 

            พิจารณาแล้วคณะรัฐมนตรีลงความเห็นในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ให้เลือกวิธีที่ 2 คือแบบสี่เหลี่ยม ผู้เขียนเข้าใจว่า คงเป็นเพราะเห็นว่าเสียพื้นที่น้อยกว่า

 

            วิธีที่สองดังกล่าวนั้นบอกว่า กำหนดเป็นรูปพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบปราสาทพระวิหาร มีแนวเขตจากปีกขวาของตัวปราสาทพระวิหารตั้งแต่ช่องบันไดหัก (ช่องบันไดหักอยู่ภายในบริเวณปราสาทพระวิหาร) ลากเส้นตรงชิดผ่านบันไดนาคตรงไปจนถึงตัวปราสาทพระวิหาร แล้วลากเส้นตรงขนานกับตัวปราสาทพระวิหารไปสุดที่หน้าผาชันด้านหลังปราสาทพระ วิหาร จนเป็นเนื้อที่บริเวณปราสาทพระวิหารประมาณ ¼ ตารางกิโลเมตร

 

            อนึ่ง ได้จัดทำป้ายไม้ ลักษณะและขนาดเท่าป้ายสถานีรถไฟ แสดงเขตบริเวณปราสาทพระวิหารไปปักตามจุดที่ช่องบันไดหัก 1บันไดนาค 1ที่มุมปราสาทปีกซ้าย 1และที่หน้าผาหลังปราสาทอีก 1

 

            ป้ายที่หันมาทางประเทศไทยให้เขียนว่า “เขตปราสาทพระวิหาร”และมีภาษาอังกฤษกำกับ ส่วนด้านที่หันไปทางกัมพูชาเขียนข้อความเป็นภาษากัมพูชาว่า “เขตนอกบริเวณปราสาทพระวิหาร”และมีภาษาฝรั่งเศสกำกับด้วย

 

            ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแนวและวิธีการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศสืบมานับแต่นั้นบัดนี้เป็นเวลาได้ 49ปีแล้ว และควรบันทึกไว้ด้วยว่า เส้นขอบเขตของพื้นที่ดังกล่าวนั้น ฝ่ายไทยไม่ถือว่าเป็นเส้นเขตแดนหากถือว่าเป็นแนวปฏิบัติเฉยๆ และแนวดังกล่าวนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้อภิปรายเอาไว้ในสภาผู้แทนราษฎรในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในตอนที่เปิดอภิปราย ไม่ไว้วางใจ นพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศ ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551ว่า “กัมพูชาก็ไม่ได้ยอมรับ”ว่าเส้นดังกล่าวเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ

 

            ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ กัมพูชาไม่เพียงไม่ยอมรับว่า นี่เป็นเส้นเขตแดน แต่ยังไม่ยอมรับมันในฐานะที่เป็นขอบเขตของปราสาทด้วย

 

            กัมพูชาตีความคำพิพากษาศาลโลกแตกต่างจากไทยโดยสิ้นเชิง กัมพูชาเห็นว่า เส้นเขตแดนที่ปรากฏตามแผนที่ (ภาคผนวก1) ซึ่งศาลได้อ้างถึงในหน้า 21 ของคำพิพากษานั้น เป็นแผนที่ซึ่งศาลได้พบว่า อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือตัวปราสาทนั้น ก็เป็นผลโดยตรงจากการที่กัมพูชาได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนซึ่งตัวปราสาท นั้นตั้งอยู่   

 

            อธิบายตามภาษาทั่วๆไปให้เข้าใจง่ายคือ เมื่อศาลพิพากษาว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ศาลย่อมทราบดีแล้วว่า เส้นแบ่งระหว่างไทยและกัมพูชาอยู่ที่ใด ซึ่งในที่นี้ ตามเหตุผลที่ศาลได้ให้ไว้ในตัวคำพิพากษา ย่อมเป็นไปตามแผนที่ภาคผนวก 1ท่าทีของไทยเกี่ยวกับการปฏิเสธแผนที่ดังกล่าวไม่มีมูลฐานทางกฎหมายใดรองรับ ด้วยว่าพฤติกรรมของประเทศไทยในอดีตนั้นได้ยอมรับแผนที่ดังกล่าวว่าเป็น เอกสารที่ได้บ่งชี้เส้นเขตแดนไปแล้ว ดังที่รู้กันดีทั่วไปในนามของกฎหมายปิดปาก (Estoppel)   

   

            ดังนั้นพื้นที่รอบๆตัวปราสาทพระวิหาร ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลเพียงใด ตราบเท่าที่มันอยู่อีกด้านหนึ่งของเส้นในฝั่งกัมพูชา ย่อมอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาตามนัยของคำพิพากษา การปฏิบัติของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วยการกำหนดขอบเขตของปราสาทพระวิหารให้เช่นนั้น จึงไม่ต้องด้วยคำพิพากษา

 

ในวันที่ 28 เมษายน 2554ประเทศกัมพูชาจึงได้ใช้สิทธิตามมาตรา 60ของธรรมนูญศาลยุติธรรม ขอให้ศาลได้วินิจฉัยขอบเขตและความหมายของคำพิพากษา ว่า ตามบทปฏิบัติการข้อ 2เกี่ยวกับพันธะของไทยที่จะต้องถอนทหารและเจ้าหน้าที่จากปราสาทพระวิหารหรือ ในบริเวณใกล้เคียงในอาณาเขตของกัมพูชานั้นมีความหมายว่าอย่างไร กินขอบเขตถึงไหน พูดด้วยภาษาง่ายๆคือ ตัวปราสาทนั้นไม่เป็นปัญหา ไทยไม่ได้โต้แย้งอะไรแล้ว แต่บริเวณใกล้เคียงหรือ ภาษา อังกฤษ เขียนว่า vicinity ตามคำพิพากษานั้นอยู่ที่ไหน กว้าง ยาว เพียงใด

 

            ในการโต้แย้งในศาล เมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2554ที่วังสันติภาพ กรุงเฮก ฝ่ายไทยพยายามโต้แย้งว่า คำขอของกัมพูชาได้ก้าวล่วงไปในเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งถือว่าอยู่นอกขอบเขตของคำพิพากษา ด้วยว่าในปี 2505นั้นศาลมิได้พิพากษาเส้นเขตแดน ดังนั้นศาลไม่น่าจะมีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้ และการปฏิบัติของไทยในปี 2505นั้นต้องด้วยคำพิพากษาแล้ว และกัมพูชาก็ให้การยอมรับโดยไม่ได้โต้แย้งมาเป็นเวลาถึง 40 ปี ก่อนที่จะมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเช่นวัดแก้วสิกขาคิริสวาราในภายหลัง

 

            กัมพูชาโต้แย้งอีกว่า กัมพูชาไม่เคยยอมรับ อย่าเอากฎหมายปิดปากมาใช้ในกรณีนี้  จะเอาเหตุการณ์ที่สมเด็จนโรดม สีหนุ ทรงปืนขึ้นปราสาทตามช่องบันไดหักเปรียบเทียบกับการเสด็จเยือนปราสาทพระวิหาร ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดปากคงไม่ได้

 

            ขณะนี้ศาลกำลังพิจารณาคำขอมาตรการชั่วคราวเพื่อให้ไทยถอนทหารจากพื้นที่ พิพาท งดเว้นกิจกรรมทางทหารในบริเวณดังกล่าว และ งดเว้นการกระทำใดๆอันจะเป็นการละเมิดสิทธิกัมพูชา

 

            ยังไม่ทราบว่าคำสั่งศาลจะออกมาในรูปใด แต่ถ้าหากศาลยอมให้ตามคำขอของกัมพูชา มีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่า ศาลจะเห็นด้วยกับการตีความคำพิพากษาปี 2505ของกัมพูชาด้วย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: